
แม่เป๋อ หรืออีเป๋อ เป็นเครื่องรางมหาเสน่ห์ โชคลาภและมหาอุดหยุดปืน ที่ปรากฏในตำนานไทยโบราณและถือกันว่าเก่าแก่ที่สุดในหมู่เครื่องรางทั้งปวง นับเป็นกลุ่มเครื่องรางย่อยในหมวด “งั่ง” ที่มีลักษณะเปลือยกายนั่งถ่างขาเผยให้เห็นอวัยวะเพศ ซึ่งผู้มีวิชาไสยศาสตร์นำไปสร้างเป็นวัตถุมงคลเพื่อเสริมเสน่ห์เมตตามหานิยม หลักฐานปรากฏว่าการบูชาแม่เป๋อเริ่มมีตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย พร้อมพัฒนารูปแบบและตำรับคาถาอาคมในแต่ละยุคอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันยังพบแม่เป๋อหลากวัสดุ เช่น เนื้อผงอาถรรพ์ โลหะ ไม้ และชนวนโลหะล้ำค่า ที่ถูกปลุกเสกตามตำราแม่เป๋อฉบับต่างๆ
ตำราแม่เป๋อจัดอยู่ในวิชาเครื่องรางประเภทมหาเสน่ห์ (สายเมตตามหานิยม) ที่ผสมผสานคติความเชื่อเรื่องแม่หรือมารดา ผู้ให้ชีวิตและคอยปกปักรักษาลูกอย่างแท้จริง แนวคิดนี้สอดรับกับคติ “มารดาแห่งจิต” ที่เปรียบเสมือนแหล่งกำเนิดพลังอำนาจอันอ่อนโยนแต่หนักแน่น เห็นได้จากบทสวดและอักขรวิธีในตำรับที่ขับถ่ายคำศัพท์เชิงจิตวิญญาณและธาตุผสมมวลสารอย่างละเอียดไม่ให้คลาดเคลื่อนจากต้นตำรับโบราณ
บันทึกเรื่องแม่เป๋อตั้งแต่สมัยอยุธยา เล่าถึงแม่ค้าสาวผู้นอนเผลอถ่างขา จนเกิดปรากฏการณ์หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หลั่งไหลมาสู่ร้าน ทิ้งให้สินค้าหมดเกลี้ยงและเงินทองล้นมือ จึงถือเป็นต้นกำเนิดนิทานและตำราอักขระแม่เป๋อ ตำราดังกล่าวถูกผู้ทรงวิชาเชิงไสยศาสตร์สืบทอดต่อมาผ่านอาจารย์สำคัญหลายรุ่น มีการบันทึกตำราในสมุดฝรั่ง หนังสือโบราณ และวัสดุผนึกยันต์ในมวลสารต่างๆ
เครื่องรางแม่เป๋อมีของ 5 เกจิ ที่เป็นตำนาน จากรุ่นสูรุ่นต่อๆมา:
นี่คือเครื่องรางแม่เป๋อ 5 ชนิด ที่สร้างโดยเกจิอาจารย์ดังจากภาคต่างๆ และลักษณะทรงพิมพ์
1. แม่เป๋อโบราณ (พิมพ์นั่ง)
• สร้างโดย: หลวงปู่ศิลา สิริจันโท, วัดป่าทรงธรรม จ.ร้อยเอ็ด
• ลักษณะ: รูปทรงนั่งขัดสมาธิ เปลือยท่อนบน ทรงพลังเข้มขลัง
2. แม่เป๋อล้านนา
• สร้างโดย: ครูบาธากูร, วัดแม่แพะ จ.เชียงใหม่
• ลักษณะ: ศิลปะล้านนาโบราณ วัสดุทองผสมยุคนางกวัก อายุเก่าแก่กว่า 100 ปี เนื้อเข้มขลัง
3. แม่เป๋อตาแดงสี่หูห้าตา
• สร้างโดย: หลวงปู่หงษ์, วัดเพชรบุรี จ.สุรินทร์
• ลักษณะ: ตาประดับพลอยแดง 5 ดวง รอบศีรษะ 4 หู ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา
4. แม่เป๋อเนื้อผงอาถรรพ์
• สร้างโดย: หลวงพ่อคูณ, วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา
• ลักษณะ: มวลสารผงวิเศษ ปลุกเสกนานหลายพรรษา สีดำสนิท
5. แม่เป๋อ ลป.คีย์ รุ่นอายุยืน ปี 2556
• สร้างโดย: หลวงปู่คีย์, วัดศรีลำยอง จ.สุรินทร์
• ลักษณะ: พิมพ์เล็ก เนื้อโลหะ หลวงปู่ ปลุกเสกถวายพรรษา
แม่เป๋อประยุกต์ใช้มวลสารหลากหลายชนิด ได้แก่
• เนื้อผงอาถรรพ์ ผสมผงพระพุทธคุณและผงวิเศษจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
• โลหะต่างๆ เช่น ทองแดงเถื่อน ตะกั่ว กำลังนิยมสำหรับรุ่นอุดปืนและรุ่นอายุยืน
• ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้พญางิ้วดำ สำหรับให้ความรู้สึกอ่อนโยนผสมแข็งแกร่ง
ขั้นตอนการสร้างทั่วไปเริ่มจากการออกแบบพิมพ์ สร้างแม่พิมพ์ดินหรือโลหะ ตามด้วยการเทมวลสารลงพิมพ์ รอให้แข็งตัว แล้วนำมาตะไบเรียบร้อย ก่อนปลุกเสกด้วยคาถาสายเมตตามหานิยมอย่างน้อย 3–7 วัน ขึ้นกับเกจิอาจารย์แต่ละรูป
1. เสริมเสน่ห์เมตตามหานิยม ให้คนรักและคนทั่วไปเอ็นดูอาทร
2. ดลจิตดลใจ ให้ผู้ที่อยู่ไกลหวนคิดถึง และช่วยสะกดจิตคู่รักให้คลั่งไคล้พิเศษ
3. โชคลาภการค้าขาย ผู้ค้าหรือพ่อค้าแม่ขายมักพกติดตัวหรือวางในที่เก็บเงินเพื่อดึงดูดลูกค้า
4. คุ้มครองภัยอันตราย โดยเฉพาะรุ่นอุดปืนที่ผสมชนวนอาถรรพ์ มีคาถาหยุดกระสุน
ความเชื่อผีและอนิมิสม์ในพระพุทธศาสนาไทย–ล้านนา
แม้พระพุทธศาสนาเถรวาทจะเป็นศาสนาหลักของไทย แต่อนิมิสม์ (Animism) หรือความเชื่อเรื่องวิญญาณบรรพบุรุษและผีท้องถิ่นยังฝังรากลึกในวิถีชีวิต จัดเป็นสาขาหนึ่งของ “ศาสนาไทยบ้าน” ที่ผสมผสานกับพุทธศาสนาอย่างแนบแน่น วัฒนธรรมไทยจึงประจักษ์ในเครื่องราง ผีบ้านผีเรือน และพิธีขึ้นบ้านใหม่ควบคู่ไปกับพิธีทางพุทธศาสนา
ในบริบทล้านนา “ผี” เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลวิญญาณ ที่มีผีเมือง ผีฟ้า ผีปู่ย่า เป็นต้น และเชื่อว่าผีสามารถสื่อสารกับมนุษย์ผ่านพิธีกรรม การบวงสรวง และวัตถุมงคลที่กรรมการหมู่บ้านจัดขึ้น งานวิจัยระบุว่า ความเชื่อเรื่องลี้ลับในล้านนายังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างจริยธรรมและความร่มเย็นในชุมชนควบคู่กับพุทธศาสนา
ตำราแม่เป๋อในล้านนามักผสมผสานคาถา “เมตตามหานิยม” และ “อุทธยานคุ้มครอง” ซึ่งมีรากฐานจากพิธีสักการ์ผีเมืองและผีฟ้าในอดีต จนกลายเป็นตำราเครื่องรางสายเมือทะนำมาใช้ควบคู่กับการบูชาพระรัตนตรัยอย่างสมดุล
ตำราแม่เป๋อเป็นองค์ความรู้เครื่องรางเชิงวิชาที่สะท้อนคติความเชื่อเรื่องแม่ผู้ให้ชีวิตและอำนาจวิญญาณในรูปแบบวิญญาณ–พุทธซินเธซิส อันปรากฏตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงล้านนา ปัจจุบันยังมีการสืบทอดโดยเกจิอาจารย์ชั้นครู และปรับใช้วัสดุมวลสารหลากหลาย เพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์เสริมเสน่ห์ โชคลาภ และคุ้มครองภัยอันตราย ตำราแม่เป๋อจึงมิใช่เพียงวัตถุมงคล แต่ยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและความเชื่อที่ควรศึกษาอย่างลึกซึ้งและระมัดระวังในการนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป…
พระปิดตา รุ่น “กนกข้าง” ปี พ.ศ. 2522 จัดสร้างในช่วงปลายชีวิตของ หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ หนึ่งในพระเกจิที่มีชื่อเสียงสูงสุดของกรุงเทพฯ และภาคกลาง โดยมีเจตนาเพื่อแจกแก่ลูกศิษย์ใกล้ชิดและเพื่อเป็นที่ระลึกในการก่อสร้างศาลาการเปรียญ และอาคารต่าง ๆ ในวัดประดู่ฉิมพลี
พระปิดตากนกข้าง เนื้อผงเกสร แช่น้ำมนต์ ฝังตะกรุด ปี 2522
ลักษณะพิเศษของพิมพ์ “กนกข้าง”
• “กนกข้าง” หมายถึง ลายกนกที่ปรากฏอยู่ด้านข้างองค์พระ เป็นลวดลายอ่อนช้อยเหมือนเถาวัลย์ แสดงถึงความละเอียด ปราณีต และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะพิมพ์
• พระนั่งสมาธิ ปิดตาทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นพุทธลักษณะของพระปิดตา หมายถึงการปิดกั้นกิเลสทั้งภายนอกและภายใน
• พิมพ์พระดู “อวบอิ่ม” และมีมวลสารผิวพระดูงดงามด้วยเกสรดอกไม้ สื่อถึงความสมบูรณ์ทางพุทธคุณและทรงพลังเข้มขลัง
พระรุ่นนี้สร้างด้วย ผงเกสร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมวลสารที่ขลังและสูงที่สุดของสายหลวงปู่โต๊ะ โดยประกอบด้วย:
• ผงเกสรดอกไม้ 108 ชนิด ที่เก็บจากยอดของวัดต่าง ๆ
• ผสมกับ ผงวิเศษ 5 ประการ ได้แก่ ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช ผงตรีนิสิงเห และผงพุทธคุณ
• ผ่านพิธี แช่น้ำมนต์ ซึ่งเป็นน้ำมนต์ที่หลวงปู่ปลุกเสกด้วยตัวเอง ทำให้เนื้อมีความ “อ่อนนุ่ม” และมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากว่าน
ตะกรุดฝังในองค์พระ
• บางองค์จะมี ตะกรุดเงินแท้จารมือ ฝังอยู่ภายใน เพื่อเพิ่มพลังคุ้มครอง ป้องกันภัย และเรียกทรัพย์(มหาลาภ)
• ตะกรุดจารด้วยมือของหลวงปู่หรือพระอาวุโสผู้ใกล้ชิด เป็นลายมือที่วิจิตรงดงาม เรียกว่าตะกรุด “มีชีวิต”
• ตะกรุดบางองค์ฝังด้านหลัง บางองค์ฝังใต้ฐาน มีหลากหลายแบบ
• ปลุกเสกใหญ่ที่ อุโบสถวัดประดู่ฉิมพลี โดย หลวงปู่โต๊ะเป็นประธาน และอธิษฐานจิตเดี่ยวอีกครั้งก่อนแจก
• ใช้เวลา ปลุกเสกยาวนานหลายเดือน ด้วยพลังจิตระดับสูงของหลวงปู่
• มีบันทึกว่า “หลวงปู่โต๊ะไม่เคยปลุกเสกอย่างรวบรัด พระทุกองค์ต้องปลุกเสกจนมั่นใจว่ามีพลังแล้วจริง ๆ”
• เมตตามหานิยม: เป็นพระที่เด่นด้านเมตตา เสริมเสน่ห์ เจรจาค้าขายดี
• แคล้วคลาด คุ้มครอง: ตะกรุดที่ฝังช่วยในการกันภัย โดยเฉพาะในยุคที่มีความเสี่ยง
• โชคลาภ การเงิน: มีประสบการณ์มากในด้านดึงดูดโชคลาภ เรียกเงินทองเข้ามา
• เสริมบารมี เสริมดวง: โดยเฉพาะคนที่ทำงานตำแหน่งสูง จะมีผู้สนับสนุน ไม่ตกต่ำ
• เนื้อพระต้องมีความ “นุ่ม” แบบผงเกสรแท้ ๆ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ
• สีเนื้อออกเหลืองนวล หรืออมน้ำตาลอมชมพู
• ลายกนกด้านข้างต้องมีความคมชัด ไม่เบลอ
• ตะกรุดต้องฝังแน่นและมีรอยจารที่ชัดเจน
• ถ้าแช่น้ำมนต์แท้ ผิวจะมีความ “ชื้น” เล็กน้อย (ไม่แห้งกรังแบบของทำเลียนแบบ)
หลวงปู่จัน ขันติโก ผู้วิเศษกำปงธม กัมพูชา , หลวงปู่น้อย ญาณที่โป วัดดอนดู่ อ.เจริญิลป์ จ.สกลนคร
ตะกรุดนะหลงใหลหลวงปู่จันเสกใต้น้ำกำกับด้วยมนต์นะหน้าทองมนต์สาลิกาเข้าคู่พญางูเกี้ยวพารามนต์นาคเกี้ยวมนต์เนียงสะอันนะจังงังนะหลงใหลนะเคลิบเคลิ้มมนต์นะวนนะเวียนนะมหาเวียนวนมนต์สาริกาลิ้นทองคาถาเมตตาใหญ่เสน่ห์เมืองธมผูกจิตดลใจหัวใจชายหัวใจหญิงให้รักใคร่กลมเกลียวกันมีเมตตาต่อกัน
หลวงปู่เสกจนเกิดน้ำวนตะกรุดลอยขึ้นมาเหนือน้ำหลวงปู่นำตะกรุดที่เสกทดสอบแช่ในน้ำเค็มก็กลายเป็นน้ำจืด นำของเปรี้ยววางบนตะกรุดปลุกเสกที่กลายเป็นของหวาน ทดสอบจนแน่ชัด จึงเป็นอันเสร็จพิธีกรรม
หลวงปู่จันกล่าวว่าตะกรุดนี้มีอานุภาพเมตตาแรงมาก นำไปห้อยคอหนู แมวไม่กัด หมาแมวหันมาครบกันเ ข้าป่าเสือไม่ตามลงน้ำจระเข้ไม่ขบ คนโกรธกันก็รักกันได้ คนคิดร้ายก็กลายเป็นมิตร ไม่มีคู่ก็จะได้พบคู่ เพศตรงข้ามจะสนใจ ความรักใคร่ก็จะบังเกิด เป็นวิชาเมตตาใหญ่ เหนือวิชาเมตตาทั่วไป อธิฐานใช้เอาเถิด ความเป็นเสน่ห์เมตตาจะบังเกิดกับตัวท่านเอง ตะกรุดชุดนี้ หลวงปู่จัน ยังได้อุดด้วยหนังจงอางเข้าคู่เกี๊ยวรัดฟัดเหวี่ยงกันจนสิ้นชีพตายทั้งคู่ เป็นของอาถรรพณ์หายากมาก ดีทางด้านการทำเสน่ห์ ที่หลวงปู่จันนำมาอุดเป็นเคล็ดที่ว่า แม้ความตายก็ไม่สามารถพรากจากกันได้ เรียกว่ารักกันจนวันตาย และจึงนำไปจุ่มในน้ำมันเมตตาอากรรพณ์ เป็นอันจบพิธีกรรม
ท่องนะโม 3 จบ
อิติปาระมิตาติงสาพิศวาสหองใหลพิศสมัยยินดีใจจิตคิดถึงเคล้าคลึงวิญญาวิชชาจะระณะสัมปันโน
อิติสัพพัญญมาคะตา พิศวาสหลงใหล พิศมัยยินดี ใจจิตคิดถึง เคล้าคลึงวิญญา วิชชาจะระณะสัมปันโน อิติโพธิมะนุปปิตโต พิศวาสหลงใหล พิศมัยยินดีใจจิตคิดถึง เคล้าคลึงวิญญา วิชชาจะระณะสัมปันโน อิติปิโสจะเตนะโม พิศวาสสหลงใหล พิศมัยยินดี ใจจิตคิดถึง เคล้าคลึงวิญญา วิชชาจะระณะสัมปั่นโน นะอิฏฐีนะ พันธมะทะโว โสมานะ กะริฏฐาโท นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ
” เสือ หลวงพ่อปาน แห่งวัดบางเหี้ย (วัดมงคลโคธาวาส) ถือเป็น อันดับ 1 แห่งเครื่องรางที่มีคุณวิเศษเลิศล้ำสุดยอดและสูงด้วยมูลค่าในการแลกเปลี่ยนบูชา ผู้นิยมเครื่องรางทั้งหลายล้วนปรารถนาจะได้เป็นเจ้าของเพราะประจักษ์แจ้งในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มายาวนาน โดยเฉพาะ “แคล้วคลาดคงกระพัน สูงส่งด้วยอำนาจตบะเดชะ เหมาะกับผู้ที่ต้องการบารมีและสง่าราศีสำหรับปกครองคนหมู่มาก อีกทั้งทางโชคลาภวาสนาก็ดีเยี่ยม การงานเจริญรุ่งเรืองไม่มีตกอับ “.
ยุคสมัยของหลวงพ่อปานได้รับการจารึกไว้ในจดหมายเหตุ การเสด็จประพาสต้นมณฑลปราจีนบุรี ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2451 ได้ทรงกล่าวถึงหลวงพ่อป่านไว้ว่า “พระครูปานเป็นที่นิยมในทางวิปัสสนา และธุดงควัตร มีพระสงฆ์วัดต่างๆ ไปเดินธุดงค์ด้วยสองร้อยสามร้อย มีคุณวิเศษทางลงตะกรุดด้ายผูกมือ รดน้ำมนต์ ที่นิยมกันมาก คือ รูปเสือแกะด้วยเขี้ยวเสือ เล็กบ้าง-ใหญ่บ้าง ฝีมือหยาบๆเวลาปลุกเสกต้องใช้เนื้อหมูเสกเป่า จนเสือกระโดดลงไปในเนื้อหมูได้“
หลวงพ่อปานเป็นพระอาจารย์สอนวิปัสสนาชื่อดัง ท่านเป็นเจ้าอธิการ วัดบางเหี้ย สมณศักดิ์ “พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ ” เครื่องรางที่ท่านสร้างไม่ว่าจะเป็นตะกรุด ผ้ายันต์ ล้วนเป็นที่ต้องการของผู้ชื่นชอบเครื่องรางของขลัง แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เขี้ยวเสือที่แกะเป็นรูปเสือขนาดต่างๆ ถือเป็นราชันย์แห่งเครื่องรางที่มีความนิยม และราคาสูงที่สูดในปัจจุบัน
“เสือ หลวงพ่อปาน” แกะขึ้นจากเขี้ยวเสือ ฝีมือแกะเรียบง่าย ค่อนข้างหยาบไปบ้าง แต่มีรูปทรงมีเอกลักษณ์ดูคลาสสิค มีคุณค่าทางศิลปะ และมีคุณวิเศษสุดยอดขลังด้วยตบะบารมีมหาอำนาจสูงมาก
“เสือ หลวงพ่อปาน รูปแบบมาตรฐานจะต้องอยู่ในรูปทรงเสือนั่ง ชันขาหน้า หางม้วนรอบฐาน หรือม้วนขึ้นพาดหลัง มีทั้งเสือหุบปากและเสืออ้าปาก นิ้วเท้าแต่ละเท้าโดยส่วนมากมี 4 นิ้ว แต่บางตัวอาจมี 5 นิ้ว และ 3 นิ้ว รอบลำตัวและใต้ฐานมีรอยจารอักขระยันต์“
เอกลักษณ์โดยรวมของเสือหลวงพ่อปาน เรียงร้อยเป็นวลีว่า “เสือหน้าแมว หูหนู ตาลูกเต๋า ยันต์กอหญ้า“
เสือหลวงพ่อปานมีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ต้องมีความเก่าให้เห็น “ทั้งคราบความเก่าแห้งด้านตามชอก และความฉ่ำในบริเวณจุดสัมผัส” หากเสือผ่านการใช้มาไม่มาก ผิวจะแห้งเก่าไม่ตึงเรียบ แต่ส่วนใหญ่จะผ่านการใช้ สัมผัสมือเหงื่อความมันและความชื้น ทำให้เนื้อมี “ความฉ่ำ” สีเหลืองอมขาวขุ่นเหมือนเนื้อเทียนไข เนื้อมีสีอ่อนแก่เป็นธรรมชาติ มีลายในเนื้อคล้ายลาย สับปะรด มีรอย “แตกราน” เล็กๆ เป็นกลุ่มเพราะการแห้งหดตัว
หลวงพ่อปาน เกิดประมาณปี พ.ศ. 2375 ท่านมรณภาพด้วยโรคชรา ในปี พ.ศ. 2453 แต่คุณงามความดีและสิ่งที่ท่านได้สร้างไว้ ไม่เคยตายไปจากใจของคนรุ่นหลังเลย และยังคงสืบเนื่องจารึกไว้ไปชั่วกาลนาน…
พระคาถาบูชา เสือ หลวงพ่อปาน… โอม พยัคโม พยัคฆ สูญญา สัพพะติ อิติ อำ อำ อึม ฮึม (แล้วอธิษฐานตามใจนึก…)
จากบันทึกในตำราพิชัยสงครามกล่าวว่า นักรบจะมีเครื่องรางของขลังติดตัวเพื่อสร้างผลให้เกิดเป็นมงคล คงกระพัน แคล้วคลาด ยามออกศึกสงคราม โดยมีหลากหลายชนิด หลายลักษณะ ซึ่งมักจะได้รับมาจากพระสงฆ์ซึ่งชาวบ้านนับถือ มีจิตญาณสูง เก่งทางวิชาอาคม และนักรบจะมีความเชื่อต่อของขลังนั้นๆ อย่างมั่นคง จะเห็นได้จากการสืบทอดสรรพตำราตกทอดกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ซึ่งเครื่องราง สามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทต่างๆดังนี้
เมื่อเราแบ่งแยกออกเป็นหมวดหมู่ให้เห็นกันง่ายๆ ขึ้นแล้ว เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกันว่า ที่มาของการสร้างเครื่องรางนั้นแต่เดินสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ซึ่งขออธิบายง่ายๆ คือ ในสมัยก่อนนั้นโลกยังไม่มีศาสนา มนุษย์รู้จักเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น เช่นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และดาวตกหรือแม้กระทั่งไฟ
ดังนั้นเมื่อคนสมัยก่อนเห็นพระอาทิตย์มีแสงสว่างก็เกิดความเคารพ แล้วเขียนภาพดวงอาทิตย์ไว้ในผนังถ้ำ เพื่อให้เกิดความอุ่นใจในยามค่ำคืน เมื่อเขียนใส่ผนังถ้ำแล้วก็มาสลักลงบนหินเพื่อติดตัวไปมาได้ ก็กลายเป็นเครื่องรางไปโดยบังเอิญ ต่อมาเมื่อรู้จักไฟก็คิดว่าไฟเป็นเทพเจ้า เกิดการบูชาไฟ ทำรูปดวงไฟ
ต่อมาเมื่อมีการเดินทางมากได้พบเห็นสิ่งประหลาดต่างๆ เช่น นก ที่มีรูปร่างประหลาด ก็คิดว่าเป็นเทพ จึงสร้างรูปเคารพของเทพต่างๆและค่อยๆ เปลี่ยนรูปมาเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากประเทศอียิปต์ กรีกและโรมัน เพราะเป็นประเทศที่มีเครื่องรางมากมาย
ต่อมาในช่วงพุทธกาลราวเมื่อ 2,000 ปีเศษ ศาสนาพราหมซึ่งถือเอาพระผู้เป็นเจ้าเป็นสรณะก็บังเกิดขึ้น พระผู้เป็นเจ้านั้นคือพระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม และเมื่อต้องการความสำเร็จผลในสิ่งใด ก็มีการสวดอ้อนวอนอันเชิญ ขออำนาจของเทพเจ้าทั้งสามให้มา บันดาลผลสำเร็จที่ต้องการนั้นๆ การกระทำดังกล่าวนี้ จะต้องมีเครื่องหมายทางใจเพื่อการสำรวม ฉะนั้นภาพจำหลักของเทพเจ้าจึงมีกิดขึ้น จะเห็นได้จากรูป “หะริหะระ” (HariHara) แห่งประสาทอันเดต (PrasatAndet) ที่พิพิธภัณฑ์เมืองพนมเปญ อันเป็นภาพจำหลักของพระนารายณ์ในศาสนาพราหมณ์ หรือ “เทวรูปมหาพรหม“แห่งพิพิธภัณฑ์กีเมต์ที่ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นมาด้วยความมุ่งหมายเอาเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางใจในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นศาสนาเก่าแก่ในประเทศอินเดีย
ในเวลาต่อมาพระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้นในโลกโดยพระบรมศาสดา(เจ้าชายสิทธัตถะ) เป็นผู้ทรงค้นพบอมตะธรรมอันวิเศษ โดยมีผู้เลื่อมใส สักการะแล้วยึดเป็นสรณะ ดังนั้นพระพุทธองค์ทรงมีพระสาวกตามเสด็จ และร่วมประพฤติปฏิบัติด้วยมากมาย จนเป็นพระอสีติมหาสาวกขึ้น ซึ่งท่านมหาสาวกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ทรงไว้ในความเป็นเอตทัลคะในด้านต่างๆกัน ได้แก่ พระสารีบุตรทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางปัญญา พระโมคคัลลานะทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางอิทธิฤทธิ์ (ในพระพุทธศาสนานั้นผู้ที่สำเร็จญาณสมาบัติได้ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ย่อมแสดงอิทธิฤทธิ์ได้หลายอย่างเป็นอเนกประการ อิทธิฤทธิ์เหล่านี้เรียกว่า “อิทธิปาฏิหาริย์” เป็นการกระทำที่สามัญชนไม่สามารถจะกระทำได้ ดังมีหลักฐานปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมากมาย) ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงไว้ด้วย “คุณ 3 ประการ” คือ
ดังนั้นพระเถระผู้มีญาณสมาบัติก็มักจะใช้ฤทธิ์ของท่านช่วยมนุษย์ และสัตว์โลกซึ่งถือเอาหลักพระเมตตาคุณ เป็นการเจริญรอยตามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระบรมศาสนานั้นเอง
คำว่า “เครื่องราง” กับ “เครื่องลาง” คำใดจึงเป็นคำที่ถูกต้อง ซึ่งในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานระบุว่า “เครื่องราง” หมายถึงเครื่องป้องกันภัยที่ทำสำเร็จด้วย ราง หรือ ร่อง แต่สำหรับนักนิยมสะสมเครื่องรางระดับสากลนิยมที่จะเรียกว่า “เครื่องลาง” มากกว่า โดยหมายถึงเครื่องที่ใช้เกี่ยวกับโชคลาง เครื่องคุ้มครอง ปกป้อง กันภัย เพราะแต่เดิมนั้นมนุษย์ทำของเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่เรียกว่า “ลาง” หรือสิ่งป้องกันภัย อันจะเกิดในอนาคต ให้แคล้วคลาด นั่นเอง.
พระครูภาวนาภิรัต หรือ หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง อมตะพระเกจิแห่งภาคตะวันออก ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน เป็นผู้ทรงอภิญญา และเป็นผู้ทรงวิทยาคม แม้ว่าท่านจะละสังขารไปนานหลายสิบปีแล้วก็ตาม แต่วัตถุมงคลที่สร้างเอง หรือลูกศิษย์ลูกหาสร้างแล้วนำมาให้ท่านอธิษฐานจิต พุทธคุณก็เข้มขลังไม่ต่างกัน จึงเป็นที่นิยมชมชอบของเซียนพระและนักสะสมในปัจจุบัน เมื่อความต้องการมีมาก แต่วัตถุมงคลมีน้อย ย่อมทำให้ราคาเช่าหาวัตถุมงคลของท่านในปัจจุบันมีราคาสูงมาก เช่น พระกริ่งชินบัญชรเนื้อทองคำ ปัจจุบันเช่าหากันถึงหลักสิบล้านขึ้นไป และพระผงขุนแผนพรายกุมาร ที่มีตำนานการสร้างอย่างมหัศจรรพันลึก ที่เชื่อกันว่า ผู้ใดมีไว้บูชาจะเป็นเมตตามหานิยมยิ่งนัก ทุกวันนี้แทบจะหาของแท้ๆได้ยากมาก เพราะผู้ครอบครองไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ เพราะโอกาสจะได้กลับคืนนั้นยากมาก.
ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้การสร้างวัตถุมงคล จะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเป็นยุคเทคโนโลยีการผลิดต่างๆ เจริญรุดหน้าเป็นอย่างมาก แต่การจะเสกวัตถุมงคลให้เข้มขลัง ก็ไม่ได้อาศัยเทคโนโลยีต่างๆมาช่วยได้เลย เป็นเรื่องของพระเกจิฌานสมาบัติหรือพลังจิตล้วนๆ พระเกจิคณาจารย์ที่อธิษฐานจิต ต้องเป็นพระผู้ทรงวิทยาคมแก่กล้า พิธีกรรมต่างๆจะต้องถูกต้องตามตำราโบราณ วัตถุมงคลที่สร้างจะมีพุทธคุณเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมมานุภาพ สังฆานุภาพ เป็นสิริมงคลแก่ผู้เคารพศรัทธา ที่อาราธนาติดตัวไป จะได้แคล้วคลาดปลอดภัย ดังที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ ถึงประสบการณ์วัตถุมงคล ที่พระเกจิอาจารย์ ท่านได้สร้างไว้แสดงอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ เช่น ยิงฟันแทงไม่เข้า รถยนต์พลิกคว่ำหลายตลบแต่ไม่เป็นไร หรือแม้กระทั่ง ฮ.ตก แต่คนบน ฮ.ไม่ได้รับอันตราย.
วัตถุมงคลหลวงปู่ทิมก็เช่นกัน หากไม่มีประสบการณ์ความขลังความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็คงจะไม่มีความต้องการ จนราคาเช่าสูงลิ่วดังเช่นปัจจุบัน , อาจารย์ชินพร สุขสถิตย์ ศิษย์ฆราวาสผู้สืบทอดวิทยาคม หลวงปู่ทิม และเป็นผู้สร้างพระกริ่งชินบัญชร ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อแรกสร้างพระกริ่งชินบัญชรนั้น มีคนมาสั่งจองเป็นจำนวนมาก แตเมื่อพระออกมาแล้ว คนส่วนใหญ่บอกพระไม่สวยและเอามาคืน ทำให้อาจารย์ชินพรเป็นทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง จนหลวงปู่ทิมได้บอกกับอาจารย์ชินพรว่า “เขาเอามาคืนก็รับไว้เถิด อีกหน่อยพลิกแผ่นดินหาก็ไม่เจอ” เป็นอมตะวาจาสิทธิ์ของ หลวงปู่ทิม โดยแท้ เพราะหลังจากนั้นเรื่องราวประสบการณ์ปาฏิหาริย์ของ พระกริ่งชินบัญชร ก็ได้แสดงออกมาเรื่อยๆ และบ่อยครั้งจนเป็นที่ล่ำลือกันไปทั่วฟ้าเมืองไทย และกลายเป็นพระกริ่งอันดับต้นๆของสยามประเทศ.
พระปิดตาเมืองชล ส่วนมากจะสร้างแบบควัมบดี คือปิดหน้าทั้งสองข้าง ซึ่งสืบสานมาจากพระปิดของหลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์ เอกองค์บรมครูจักรพรรดิ์ ราชันแห่งพระปิดตาที่วงการพระเครื่องยกย่องให้เป็นหนึ่งในชุดพระปิดตาเบญจะของจังหวัดชลบุรี ครองค่าความนิยมที่โด่งดังทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นพระปิดตายุคแรก อันเป็นบรมครูของพระปิดตายุคต่อมา เช่น หลวงปู่ภู่ วัดนอก , หลวงพ่อโต วัดเนินสุทธาวาส , หลวงพ่อเจียม วัดกำแพง , หลวงพ่อครีพ วัดสมถะ
ต่อมาได้มีการสืบสานสร้างพระปิดตา ซึ่งส่วนมากจะเอาพิมพ์หลวงปู่แก้วมาเป็นต้นแบบ ดัดแปรงแก้ไข จนเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นอกจากนั้นยังมีการนำผงแท่งชอล์ค ผงวิเศษของหลวงปู่แก้วผสม เช่น พระปิดตา 19 คณาจารย์แห่งเมืองชลที่เคยนำเสนอของแต่ละเกจิไว้แล้ว. ที่มีพระปิดตา ที่มีผงของหลวงพ่อแก้ว ผสมเป็นมวลสาร ผู้เขียนพยายามสืบเสาะหาพระอันเป็นองค์ตำนานมารวบรวม หากใครเป็นเจ้าของพระที่รับไปจากทางร้าน กราบขอขอบพระคุณมาที่นี้ด้วย.
ในฐานะที่เป็นผู้เรียบเรียง จึงอยากแบ่งปันในฐานะผู้สะสมพระเครื่องเมืองชลอย่างแท้จริง จึงคัดเกร็ดความรู้มาให้บางส่วนเท่านั้น
หวังว่าบทความนี้ จะเป็นเสมือนการจุดเทียนแห่งแสงสว่างทางปัญญาที่ให้ความรู้ ถือเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ที่จะอุทิศให้บูรพาจารย์ทั้งหลาย หากมีสิ่งผิดพลาดแต่ประการใด ต้องขอประทานอภัยมา ณ ที่นี่ด้วย
ขอให้ทุกท่าน จงประสพสุข สมหวัง ด้วยพุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี อย่าเจ็บ อย่าจน…ด้วยเทิญ
พระเครื่องและวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆษิตาราม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ถือเป็นที่นิยมของนักสะสมตามหา เนื่องจากหลวงพ่อกวยมีศิษยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือมากมาย ท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบการทำพระผง ด้วยแม่พิมพ์บีบมือ ซึ่งพุทธคุณโดดเด่นและโด่งดังมากด้านเมตตามหานิยม จนถูกนำไปแต่งเพลง “คาถาขุนแผน” ของกานต์ ทศน
พระเครื่องหลวงพ่อกวย และวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย เป็นที่นิยมมีชื่อเสียง ได้แก่ พระสมเด็จ พิมพ์ต่างๆ , พระขุนแผน , พระสังกัจจายน์ , มีดหมอ , ตะกรุด , ผ้ายันต์ , เหรียญหลังหนุมาร , เหรียญรูปเหมือนหลังยันต์มงกุฎรุ่นแรก และเครื่องรางของขลังต่างอีกมากมาย ซึ่งท่านได้สร้างไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่.
“ ขอศิษย์ทั้งหลาย จงอย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา ”
เพื่อเป็นคติเตือนใจให้แก่ประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธา และบรรดาลูกศิษย์ได้มุงมานะทำสัมมาอาชีพ ไม่กลัวต่ออุปสรรคใดๆ ที่นับถือหลวงพ่อ จงอย่าลืมมุ่งหน้าตั้งใจประพฤติอยู่ในศีลธรรม เพื่อทำมาค้าขายอะไร จะได้ขึ้น ได้ร่ำ ได้รวย สมใจปรารถนา…
พุทคุณใช้สวดภาวนาในเวลาไปค้าขาย หรือจะให้ทำเป็นน้ำมนต์ พรมขายของก็ดี จะทำมาค้าขึ้นดีนักแลฯ
นับตั้งแต่ ตรียัมปวาย ได้ขนานนามสุดยอดพระเครื่องแห่งสยามประเทศที่มีมาแต่โบราณกาล จนถึงปัจจุบัน โดยจัดเข้าชุดกันในชื่อ เบญจภาคี ซึ่งประกอบด้วย พระสมเด็จของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) , พระนางพญา วัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก , พระรอด วัดมหาวัน จังหวัดลำพูน , พระกำแพงซุ้มกอ จังหวัดกำแพงเพชร และพระผงสุพรรณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี พัฒนาการแห่งการศึกษาความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง เริ่มเป็นรูปแบบและมีมาตรฐานมากขึ้น มีการแยกแม่พิมพ์และแบ่งประเภท พระชุดเบญจภาคีอย่างเป็นระบบ สามารถพิสูจน์ และอรรถาธิบายได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ อันเป็นหลักแห่งเหตุและผล ส่งผลให้มีผู้ให้ความสนใจศึกษาค้นคว้า ในแวดวงที่กว้างขวาง เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ
นอกจากนี้ พระเครื่อง ยังผูกพันกับคติความเชื่อที่หยั่งรากลึกในมโนคติของสังคมไทยมาช้านาน ลักษณะการแห่งพิมพ์พระที่จำลองมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากเพียงแตกต่างทางด้านศิลปะสกุลช่างตามยุคสมัยที่ปรากฏ ทำให้ เบญจภาคี ทวีความสำคัญมากขึ้นในฐานะรูปแบบแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ประกอบไปด้วยพุทธานุภาพ อันเป็นพื้นฐานของความเชื่อทางศาสนา ซึ่งแสดงให้เห็นเอกลักษณ์สำคัญของสังคมไทยเรานั่นเอง….
ปล.
พระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย เป็นพิธีกรรมในศาสนาพราหมณ์–ฮินดู เป็นการรับเสด็จพระอิศวรที่จะเสด็จมาเยี่ยมโลกมนุษย์ เป็นเวลา 10 วัน ปัจจุบันประกอบการพระราชพิธีในเทวสถานสำหรับพระนคร 2 หลัง ได้แก่ สถานพระอิศวร สถานพระมหาวิฆเนศวร โดยมีกำหนดพิธี เริ่มตั้งแต่คณะพราหมณ์ผู้ประกอบ วิกิพีเดีย
พระสมเด็จวัดระฆัง หลังรูปเหมือนสมเด็จโต รุ่นแรกแจกทาน ปี 2554 เป็ยพระพิมพ์สวยมวลสารดี พิธีเข้มขลัง พระธรรมธีรราชมหามุนี เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตารามฯ”เจ้าคุณเที่ยง” ประธานจัดสร้าง อธิษฐานจิตภายในกุฏิ 9 วัน 9 คืน ขอบารมีสมเด็จโตในวิหาร พระสมเด็จที่ประดิษฐานรูปเหมือนสมเด็จพุฒจารย์โต หม่อมเจ้าพระพุทธูปบาทปิลันทน์ และ สมเด็จพระโฆษาจารย์(ม.ร.ว.เจริญ) โดยพระสงฆ์ของวัดระฆังฯ อาทิ พระครูสิริธรรมวิภูษิต(พ่อท่านเจิด)วัดระฆังโฆสิตารามฯ พระครูวิมลธรรมธาดา(หลวงพ่อสวง)วัดระฆังโฆษิตาราม ท่านเจ้าคุณ พนะบวรรังษี วัดระฆังโฆษิตาราม พระครูปลัดธีรวัฒน์ วัดระฆังโฆษิตารามฯ อธิษฐานขอบารมี ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒจารย์โตเป็นที่สุด.
พระผงสมเด็จโต ที่ใช้แบบจากพระสมเด็จวัดระฆังที่มีค่ามหาศาล สร้างด้วยมวลสารเก่าที่ประกอบด้วยผงวิเศษทั้ง 5 คือ ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ผงพุทธคุณ และผงมหาราช ผสมน้ำมนต์บ่อสมเด็จโต ด้านหลังเป็นรูปเหมือนองค์สมเด็จพุฒจารย์(โต) และคำว่า”แจกทาน” บารมีสมเด็จโตสร้างพระสมเด็จ เป็นพระเครื่องอันดับหนึ่งมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมาย , สมเด็จแจกทานนี้ ขอบารมีสมเด็จโตช่วยดลบันดาลมาเสกให้ ทำพิธีเสกภายในวัดระฆังฯ โดยตั้งสัจจะอธิษฐานว่า “ขอให้สมเด็จแจกทานรุ่นนี้มีพุทธคุณเทียบเท่าพระสมเด็จโตสร้างเองกับมือด้วยเทิญ” สมเด็จรุ่นแจกทานนี้มีตรายางลายเซ็นสมเด็จโต หรือตราระฆังเป็นโค้ดทุกองค์.
ยันต์สังวาลเป๊ก หรือยันต์ 108 , ยันต์สังวาลเป๊ก หรือ ” ตะกรุดสังวาลเพชรป้องกันภัย ” เป็นตะกรุดคล้องคอ มีเอกลักษณ์อย่างล้านนา นิยมทำด้วยโลหะ หากเป็นทองและเงิน จะเน้นที่ความเป็นมหานิยม หรือถ้าจะเน้นด้านคงกระพัน ป้องกัน จะทำด้วยโลหะอื่นอย่าง ทองแดง ทองเหลือง หรือตะกั่ว เชื่อกันว่ายันต์สังวาลเป๊ก จะช่วยคุ้มภัยได้สารพัด ทั้งป้องกัน ทั้งเข้มขลังมหาอุด.
ยันต์สังวาลเป๊ก แบบโบราณ ผู้สร้างต้องลงอักขระ บนแผ่นโลหะให้ได้ 54 คู่ รวมแล้ว 108 ชิ้นร้อยสลับกัน ไม่ให้ผิด ปิดด้วยพ่อยันต์แม่ยันต์ เพื่อรักษาอาคมนั้น ส่วนสุดท้ายคือยันต์จำปาสี่ต้น หรือยันต์เก้ากุ่ม บ้างก็มีเฉพาะยันต์เก้ากุ่ม ซึ่งเน้นที่เมตตา ป้องกัน แคล้วคลาด ส่วนเส้นด้ายที่ใช้ร้อยสังวาลเป๊ก ต้องเป็นฝ้ายที่ปลูก ปั่น และย้อมเองจึงจะดี แต่ถ้าซื้อก็ห้ามต่อรองราคา
ยันต์อีกประเภทหนึ่ง ที่มีคุณลักษณะคล้ายกับยันต์สังวาลเป๊ก คือ ยันต์หัวใจ 108 สำหรับมัดเอว(บ้างก็เรียกตะกรุด 108 หรือ ยันต์ 108) ต่างกันที่ความยาว และขนาด รวมทั้งวิธีร้อยเชือก ในส่วนอักขระที่เหล่าเกจิอาจารย์จารลงแผ่นโลหะ คือหัวใจของพระคาถา อาจมีสูตรเฉพาะของแต่ละอาจารย์ก็ได้ เล่ากันว่า นิยมลงอักขระเฉพาะวันอังคาร อังคารละดอก หนึ่งเดือนทำได้เพียง 4 ดอก และหากจะได้ครบ 108 ดอก ต้องใช้เวลาเนิ่นนานมาก ดังนั้นจึงพบว่ามีเฉพาะลูกศิษย์ลูกหาใกล้ชิดเท่านั้นที่ได้ครอบครอง.
ยันต์เกราะเพชร เดิมทีนั้น ต้นตำรับคือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ. พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นองค์บูรพาจารย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ในงานเป่ายันต์ของท่านแต่ละครั้ง ผู้คนจะหลั่งไหลมากันจนมืดฟ้ามัวดิน แทบจะไม่มีที่ให้ยืนหรือเดิน
ด้วยอำนาจแห่งพุทธคุณ ที่มีมากมายมหาศาล อันเป็นยันต์จากตำราพระร่วง โดยการตัดส่วนหนึ่งมาจากธงมหาพิชัยสงครามนี้ เมื่อครั้งหลวงพ่อปานมรณภาพ ยันต์บทนี้จึงตกไปยังศิษย์ นั่นก็คือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ยันต์เกราะเพชร มีผู้คนประจักษ์แจ้งถึงพุทธคุณ และผู้มากประสบการณ์เล่าขานต่อมา จึงกล่าวได้ว่า มีพลังพุทธานุภาพเกินจะกล่าว
เมื่อครั้ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จำวัดอยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้เกิดอาการเหมือนกับว่า องค์สมเด็จฯ ได้กล่าวกับ หลวงพ่อฤาษีลิงดำในฝันว่า ให้ท่องบทคาถาเพิ่มขึ้น และให้ช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน และให้เผยแพร่บทคาถานี้เป็นอมตะ มีความศักดิ์สิทธิ์ และเกิดพลังนิมิตดี จึงทำให้ผู้ท่องคาถาบทนี้ ประสบแต่โชคดีมามากต่อมาก