
พระปิดตา รุ่น “กนกข้าง” ปี พ.ศ. 2522 จัดสร้างในช่วงปลายชีวิตของ หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ หนึ่งในพระเกจิที่มีชื่อเสียงสูงสุดของกรุงเทพฯ และภาคกลาง โดยมีเจตนาเพื่อแจกแก่ลูกศิษย์ใกล้ชิดและเพื่อเป็นที่ระลึกในการก่อสร้างศาลาการเปรียญ และอาคารต่าง ๆ ในวัดประดู่ฉิมพลี
พระปิดตากนกข้าง เนื้อผงเกสร แช่น้ำมนต์ ฝังตะกรุด ปี 2522
ลักษณะพิเศษของพิมพ์ “กนกข้าง”
• “กนกข้าง” หมายถึง ลายกนกที่ปรากฏอยู่ด้านข้างองค์พระ เป็นลวดลายอ่อนช้อยเหมือนเถาวัลย์ แสดงถึงความละเอียด ปราณีต และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะพิมพ์
• พระนั่งสมาธิ ปิดตาทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นพุทธลักษณะของพระปิดตา หมายถึงการปิดกั้นกิเลสทั้งภายนอกและภายใน
• พิมพ์พระดู “อวบอิ่ม” และมีมวลสารผิวพระดูงดงามด้วยเกสรดอกไม้ สื่อถึงความสมบูรณ์ทางพุทธคุณและทรงพลังเข้มขลัง
พระรุ่นนี้สร้างด้วย ผงเกสร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมวลสารที่ขลังและสูงที่สุดของสายหลวงปู่โต๊ะ โดยประกอบด้วย:
• ผงเกสรดอกไม้ 108 ชนิด ที่เก็บจากยอดของวัดต่าง ๆ
• ผสมกับ ผงวิเศษ 5 ประการ ได้แก่ ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช ผงตรีนิสิงเห และผงพุทธคุณ
• ผ่านพิธี แช่น้ำมนต์ ซึ่งเป็นน้ำมนต์ที่หลวงปู่ปลุกเสกด้วยตัวเอง ทำให้เนื้อมีความ “อ่อนนุ่ม” และมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากว่าน
ตะกรุดฝังในองค์พระ
• บางองค์จะมี ตะกรุดเงินแท้จารมือ ฝังอยู่ภายใน เพื่อเพิ่มพลังคุ้มครอง ป้องกันภัย และเรียกทรัพย์(มหาลาภ)
• ตะกรุดจารด้วยมือของหลวงปู่หรือพระอาวุโสผู้ใกล้ชิด เป็นลายมือที่วิจิตรงดงาม เรียกว่าตะกรุด “มีชีวิต”
• ตะกรุดบางองค์ฝังด้านหลัง บางองค์ฝังใต้ฐาน มีหลากหลายแบบ
• ปลุกเสกใหญ่ที่ อุโบสถวัดประดู่ฉิมพลี โดย หลวงปู่โต๊ะเป็นประธาน และอธิษฐานจิตเดี่ยวอีกครั้งก่อนแจก
• ใช้เวลา ปลุกเสกยาวนานหลายเดือน ด้วยพลังจิตระดับสูงของหลวงปู่
• มีบันทึกว่า “หลวงปู่โต๊ะไม่เคยปลุกเสกอย่างรวบรัด พระทุกองค์ต้องปลุกเสกจนมั่นใจว่ามีพลังแล้วจริง ๆ”
• เมตตามหานิยม: เป็นพระที่เด่นด้านเมตตา เสริมเสน่ห์ เจรจาค้าขายดี
• แคล้วคลาด คุ้มครอง: ตะกรุดที่ฝังช่วยในการกันภัย โดยเฉพาะในยุคที่มีความเสี่ยง
• โชคลาภ การเงิน: มีประสบการณ์มากในด้านดึงดูดโชคลาภ เรียกเงินทองเข้ามา
• เสริมบารมี เสริมดวง: โดยเฉพาะคนที่ทำงานตำแหน่งสูง จะมีผู้สนับสนุน ไม่ตกต่ำ
• เนื้อพระต้องมีความ “นุ่ม” แบบผงเกสรแท้ ๆ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ
• สีเนื้อออกเหลืองนวล หรืออมน้ำตาลอมชมพู
• ลายกนกด้านข้างต้องมีความคมชัด ไม่เบลอ
• ตะกรุดต้องฝังแน่นและมีรอยจารที่ชัดเจน
• ถ้าแช่น้ำมนต์แท้ ผิวจะมีความ “ชื้น” เล็กน้อย (ไม่แห้งกรังแบบของทำเลียนแบบ)
” เสือ หลวงพ่อปาน แห่งวัดบางเหี้ย (วัดมงคลโคธาวาส) ถือเป็น อันดับ 1 แห่งเครื่องรางที่มีคุณวิเศษเลิศล้ำสุดยอดและสูงด้วยมูลค่าในการแลกเปลี่ยนบูชา ผู้นิยมเครื่องรางทั้งหลายล้วนปรารถนาจะได้เป็นเจ้าของเพราะประจักษ์แจ้งในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มายาวนาน โดยเฉพาะ “แคล้วคลาดคงกระพัน สูงส่งด้วยอำนาจตบะเดชะ เหมาะกับผู้ที่ต้องการบารมีและสง่าราศีสำหรับปกครองคนหมู่มาก อีกทั้งทางโชคลาภวาสนาก็ดีเยี่ยม การงานเจริญรุ่งเรืองไม่มีตกอับ “.
ยุคสมัยของหลวงพ่อปานได้รับการจารึกไว้ในจดหมายเหตุ การเสด็จประพาสต้นมณฑลปราจีนบุรี ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2451 ได้ทรงกล่าวถึงหลวงพ่อป่านไว้ว่า “พระครูปานเป็นที่นิยมในทางวิปัสสนา และธุดงควัตร มีพระสงฆ์วัดต่างๆ ไปเดินธุดงค์ด้วยสองร้อยสามร้อย มีคุณวิเศษทางลงตะกรุดด้ายผูกมือ รดน้ำมนต์ ที่นิยมกันมาก คือ รูปเสือแกะด้วยเขี้ยวเสือ เล็กบ้าง-ใหญ่บ้าง ฝีมือหยาบๆเวลาปลุกเสกต้องใช้เนื้อหมูเสกเป่า จนเสือกระโดดลงไปในเนื้อหมูได้“
หลวงพ่อปานเป็นพระอาจารย์สอนวิปัสสนาชื่อดัง ท่านเป็นเจ้าอธิการ วัดบางเหี้ย สมณศักดิ์ “พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ ” เครื่องรางที่ท่านสร้างไม่ว่าจะเป็นตะกรุด ผ้ายันต์ ล้วนเป็นที่ต้องการของผู้ชื่นชอบเครื่องรางของขลัง แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เขี้ยวเสือที่แกะเป็นรูปเสือขนาดต่างๆ ถือเป็นราชันย์แห่งเครื่องรางที่มีความนิยม และราคาสูงที่สูดในปัจจุบัน
“เสือ หลวงพ่อปาน” แกะขึ้นจากเขี้ยวเสือ ฝีมือแกะเรียบง่าย ค่อนข้างหยาบไปบ้าง แต่มีรูปทรงมีเอกลักษณ์ดูคลาสสิค มีคุณค่าทางศิลปะ และมีคุณวิเศษสุดยอดขลังด้วยตบะบารมีมหาอำนาจสูงมาก
“เสือ หลวงพ่อปาน รูปแบบมาตรฐานจะต้องอยู่ในรูปทรงเสือนั่ง ชันขาหน้า หางม้วนรอบฐาน หรือม้วนขึ้นพาดหลัง มีทั้งเสือหุบปากและเสืออ้าปาก นิ้วเท้าแต่ละเท้าโดยส่วนมากมี 4 นิ้ว แต่บางตัวอาจมี 5 นิ้ว และ 3 นิ้ว รอบลำตัวและใต้ฐานมีรอยจารอักขระยันต์“
เอกลักษณ์โดยรวมของเสือหลวงพ่อปาน เรียงร้อยเป็นวลีว่า “เสือหน้าแมว หูหนู ตาลูกเต๋า ยันต์กอหญ้า“
เสือหลวงพ่อปานมีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ต้องมีความเก่าให้เห็น “ทั้งคราบความเก่าแห้งด้านตามชอก และความฉ่ำในบริเวณจุดสัมผัส” หากเสือผ่านการใช้มาไม่มาก ผิวจะแห้งเก่าไม่ตึงเรียบ แต่ส่วนใหญ่จะผ่านการใช้ สัมผัสมือเหงื่อความมันและความชื้น ทำให้เนื้อมี “ความฉ่ำ” สีเหลืองอมขาวขุ่นเหมือนเนื้อเทียนไข เนื้อมีสีอ่อนแก่เป็นธรรมชาติ มีลายในเนื้อคล้ายลาย สับปะรด มีรอย “แตกราน” เล็กๆ เป็นกลุ่มเพราะการแห้งหดตัว
หลวงพ่อปาน เกิดประมาณปี พ.ศ. 2375 ท่านมรณภาพด้วยโรคชรา ในปี พ.ศ. 2453 แต่คุณงามความดีและสิ่งที่ท่านได้สร้างไว้ ไม่เคยตายไปจากใจของคนรุ่นหลังเลย และยังคงสืบเนื่องจารึกไว้ไปชั่วกาลนาน…
พระคาถาบูชา เสือ หลวงพ่อปาน… โอม พยัคโม พยัคฆ สูญญา สัพพะติ อิติ อำ อำ อึม ฮึม (แล้วอธิษฐานตามใจนึก…)
” พระสมเด็จเกศไชโย” เป็นพระเนื้อผงที่ได้รับการยอมรับว่า สร้างโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หนึ่งในสามพระสมเด็จสามวัด คือ วัดระฆังฯ วัดบางขุนพรหม และวัดไชโย ที่ได้รับการยอมรับเป็นมาตรฐาน ได้รับความนิยมเช่าบูชาสูงที่สุดในเวลานี้ แหล่งกำเนิดของพระสมเด็จเกศไชโยนั้น พบพระด้านในองค์ “พระมหาพุทธพิมพ์” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เป็นผู้สร้างไว้ในวัดไชโยวรมหาวิหาร เมืองอ่างทอง วัดนี้เป็นวัดที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ สร้างขึ้นบนที่ดินของตาของท่าน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้โยมมารดาและตา โดยนำชื่อของโยมมารดา “เกศ” และชื่อของตา “ชัย” มารวมกันเป็น “เกศไชโย”
ภายในวัดมีพระพุทธรูปประทับนั่งองค์ใหญ่ กล่าวกันว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้สร้างไว้เป็นองค์ประธานของวัด และท่านได้สร้างพระเนื้อผงพิมพ์สมเด็จบรรจุกรุไว้ด้านในองค์พระประธาน เรียกกันว่า “พระสมเด็จเกศไชโย”
ในปี พ.ศ. 2430 มีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดขึ้นใหม่ การก่อสร้างทำให้พระพุทธรูปสั่นสะเทือนจนเสียหาย ต้องบูรณะขึ้นใหม่ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ให้สร้างขึ้นใหม่จนแล้วเสร็จในปี 2434 พร้อมถวายพระนาม “พระมหาพุทธพิมพ์” และเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดไชโยวรวิหาร ” เป็นพระอารามหลวง นับแต่นั้นมา…
พระครูภาวนาภิรัต หรือ หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง อมตะพระเกจิแห่งภาคตะวันออก ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน เป็นผู้ทรงอภิญญา และเป็นผู้ทรงวิทยาคม แม้ว่าท่านจะละสังขารไปนานหลายสิบปีแล้วก็ตาม แต่วัตถุมงคลที่สร้างเอง หรือลูกศิษย์ลูกหาสร้างแล้วนำมาให้ท่านอธิษฐานจิต พุทธคุณก็เข้มขลังไม่ต่างกัน จึงเป็นที่นิยมชมชอบของเซียนพระและนักสะสมในปัจจุบัน เมื่อความต้องการมีมาก แต่วัตถุมงคลมีน้อย ย่อมทำให้ราคาเช่าหาวัตถุมงคลของท่านในปัจจุบันมีราคาสูงมาก เช่น พระกริ่งชินบัญชรเนื้อทองคำ ปัจจุบันเช่าหากันถึงหลักสิบล้านขึ้นไป และพระผงขุนแผนพรายกุมาร ที่มีตำนานการสร้างอย่างมหัศจรรพันลึก ที่เชื่อกันว่า ผู้ใดมีไว้บูชาจะเป็นเมตตามหานิยมยิ่งนัก ทุกวันนี้แทบจะหาของแท้ๆได้ยากมาก เพราะผู้ครอบครองไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ เพราะโอกาสจะได้กลับคืนนั้นยากมาก.
ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้การสร้างวัตถุมงคล จะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเป็นยุคเทคโนโลยีการผลิดต่างๆ เจริญรุดหน้าเป็นอย่างมาก แต่การจะเสกวัตถุมงคลให้เข้มขลัง ก็ไม่ได้อาศัยเทคโนโลยีต่างๆมาช่วยได้เลย เป็นเรื่องของพระเกจิฌานสมาบัติหรือพลังจิตล้วนๆ พระเกจิคณาจารย์ที่อธิษฐานจิต ต้องเป็นพระผู้ทรงวิทยาคมแก่กล้า พิธีกรรมต่างๆจะต้องถูกต้องตามตำราโบราณ วัตถุมงคลที่สร้างจะมีพุทธคุณเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมมานุภาพ สังฆานุภาพ เป็นสิริมงคลแก่ผู้เคารพศรัทธา ที่อาราธนาติดตัวไป จะได้แคล้วคลาดปลอดภัย ดังที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ ถึงประสบการณ์วัตถุมงคล ที่พระเกจิอาจารย์ ท่านได้สร้างไว้แสดงอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ เช่น ยิงฟันแทงไม่เข้า รถยนต์พลิกคว่ำหลายตลบแต่ไม่เป็นไร หรือแม้กระทั่ง ฮ.ตก แต่คนบน ฮ.ไม่ได้รับอันตราย.
วัตถุมงคลหลวงปู่ทิมก็เช่นกัน หากไม่มีประสบการณ์ความขลังความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็คงจะไม่มีความต้องการ จนราคาเช่าสูงลิ่วดังเช่นปัจจุบัน , อาจารย์ชินพร สุขสถิตย์ ศิษย์ฆราวาสผู้สืบทอดวิทยาคม หลวงปู่ทิม และเป็นผู้สร้างพระกริ่งชินบัญชร ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อแรกสร้างพระกริ่งชินบัญชรนั้น มีคนมาสั่งจองเป็นจำนวนมาก แตเมื่อพระออกมาแล้ว คนส่วนใหญ่บอกพระไม่สวยและเอามาคืน ทำให้อาจารย์ชินพรเป็นทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง จนหลวงปู่ทิมได้บอกกับอาจารย์ชินพรว่า “เขาเอามาคืนก็รับไว้เถิด อีกหน่อยพลิกแผ่นดินหาก็ไม่เจอ” เป็นอมตะวาจาสิทธิ์ของ หลวงปู่ทิม โดยแท้ เพราะหลังจากนั้นเรื่องราวประสบการณ์ปาฏิหาริย์ของ พระกริ่งชินบัญชร ก็ได้แสดงออกมาเรื่อยๆ และบ่อยครั้งจนเป็นที่ล่ำลือกันไปทั่วฟ้าเมืองไทย และกลายเป็นพระกริ่งอันดับต้นๆของสยามประเทศ.
เราอาจเคยได้ยินคำทำนายทายทักกันว่า ช่วงนี้ให้ระวัง..เพราะพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก พระราหูเสวยอายุคุณอีกต่างหาก อาจทำให้ถึงขั้นก่ายหน้าผากกันได้หากโดนทักอย่างนี้ จากความเชื่อเรื่องโชคลาง การทำนายทายทัก จึงก่อให้เกิดการแก้เคล็ด เพื่อแก้จากเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี โดยการบูชาเทวดานพเคราะห์ตามวันที่เราเกิด รวมถึงเทวดาที่อาจบันดาลสุข หนึ่งในความเชื่อที่ผู้คนบูชาคือ “พระราหู” หากจะกล่าวถึง พระราหู กับความเชื่อของคนไทย น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก พระราหูโด่งดังขึ้นมาในระดับต้นๆ ของการบูชาเทพไท้เทวา อีกทั้งมีการนำมาประยุคต์เข้ากับพิธีกรรมสืบชะตา สะเดาะพระเคราะห์ และจัดสร้างวัตถุมงคลมากมายของบรรดาเกจิอาจารย์ ตั้งแต่โบราณเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน.
ในคัมภีร์พระเวทได้กล่าวไว้ว่า “พระราหู คือเทพอสูร ที่เป็นอมตะไม่มีวันตาย ” เพราะตอนที่เหล่าทวยเทพทำพิธีกวนน้ำอมฤตในเกษียรสมุทร(ทะเลน้ำนม) อันเป็นที่ประทับขององค์พระนารายณ์ พระราหู ได้แปลงกายเป็นเทวดาแฝงตัวเข้าไปอยู่ในพิธีกรรมด้วย เพราะมิได้รับเชิญ พอน้ำอมฤตเสร็จ ลอยขึ้นมาจากสะดือทะเล แล้วพระราหูก็รอบเข้าไปดื่มกินก่อน พระนารายณ์รับรู้เข้าก็ขว้างจักรไปต้องลำตัวของพระราหู ทำให้ขาดจากกันเป็นสองท่อน ซึ่งพระราหูนั้นเดิมทีมีหัวเป็นยักษ์ ลำตัวเป็นมนุษย์ ท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปเป็นงู เมื่อโดนตัดด้วยจักรพระนารายณ์ ท่อนล่างจึงหลุดลอยไปในอากาศ กลายเป็นพระเกตุเทวา ส่วนพระราหูก็เหลือแต่ท่อนบนเท่านั้น , พระราหู จึงผูกอาฆาตโกรธแค้น พระสุริยะเทพ และพระจันทราเทพมาก ที่เอาความไปบอกแก่ พระนารายณ์ ให้ล่วงรู้ในเรื่องที่ตนเอง ดื่มกินน้ำอมฤตเข้าไป ดังนั้นในเวลาที่พระราหู เจอ พระอาทิตย์ หรือพระจันทร์คราวใด ก็จะจับกินเสียทุกทีไป จึงได้เกิดคติความเชื่อเรื่องสุริยุปราคา และจันทรุปราคาขึ้น.
ในคัมภีร์โหราศาสตร์ถือว่า เมื่อบุคคนใดที่พระราหูเสวยอายุในช่วงเวลานั้น จะเกิดความรุ่มร้อน มีเคราะห์กรรม จะต้องแก้ไข ทำพิธีรับดาวและแก้เคล็ด จึงจะกลับร้ายกลายเป็นดี ซึ่งในคัมภีร์ทางไสยศาสตร์ ได้มีการสร้างหลักวิชาเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับคนเชื่อเรื่องพระราหู ช่วยในการแก้ไขดวงชะตา ในความเชื่อว่า ต้องการค้านฤทธิ์อำนาจด้านมืดของพระราหู เอาพลังด้านดีมาช่วยส่งเสริมชะตาชีวิต เรียกว่า “เลี่ยงลางร้ายรับลางดี” จึงมีการสร้างเครื่องรางออกมาในรูปแบบพระราหูอมจันทร์ ซึ่งนิยมทำจากกะลามะพร้าวตาเดียวแกะสลัก ที่เรียกกันว่า “กะลาตาเดียวพระราหูอมจันทร์”
เหตุที่ต้องใช้กะลาตาเดียว เพราะถือเป็นของทนสิทธิ์ มีดีในตัว และหายาก , การนำกะลามาแกะเป็นพระราหูนั้น มีการแกะทั้งลูก และแกะเป็นหลายชิ้น จะได้จำนวนมากน้อย ขึ้นอยู่กับจำนวนที่ต้องการ และขนาดกะลาด้วย เมื่อแกะลวดลายเป็นพระราหูอมจันทร์ ขัดแต่งให้สวยงามแล้ว ตามตำราเกจิที่สร้างจะนำมาลงอักขระเลขยันต์ ซึ่งไม่ใช่ของง่าย เพราะต้องทำในช่วงเกิดสุริยะคราสและจันทรคราสก่อน แล้วเพ่งมองดูเงาดับที่เข้าจับพระอาทิตย์และพระจันทร์ จากนั้นใช้เหล็กจารลงอักขระไปบนกะลา หลังจากนั้นเกจิอาจารย์ ท่านจะนำไปปลุกเสกอีกครั้ง จนมั่นใจในความเข้มขลัง แล้วจึงนำออกแจกจ่ายให้บูชา ผู้ใดมีไว้ในครอบครอง ถือเป็นผู้มีบุญ ได้รับกุศลยิ่งนักแล…
การบูชาวัตถุมงคลใดๆต้องมี ศรัทธา บารมีจึงเกิดผล จงหมั่นสร้างแต่ความดี ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กตัญญูรู้คุณของพ่อแม่ และครูอาจารย์ที่อบรมสอนสั่ง อันมีคุณพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง การบูชาจึงสัมฤทธิ์ผลตามความเชื่อที่โบราณกาลพาทำสืบเนื่องมา…
พระเครื่องและวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆษิตาราม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ถือเป็นที่นิยมของนักสะสมตามหา เนื่องจากหลวงพ่อกวยมีศิษยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือมากมาย ท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบการทำพระผง ด้วยแม่พิมพ์บีบมือ ซึ่งพุทธคุณโดดเด่นและโด่งดังมากด้านเมตตามหานิยม จนถูกนำไปแต่งเพลง “คาถาขุนแผน” ของกานต์ ทศน
พระเครื่องหลวงพ่อกวย และวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย เป็นที่นิยมมีชื่อเสียง ได้แก่ พระสมเด็จ พิมพ์ต่างๆ , พระขุนแผน , พระสังกัจจายน์ , มีดหมอ , ตะกรุด , ผ้ายันต์ , เหรียญหลังหนุมาร , เหรียญรูปเหมือนหลังยันต์มงกุฎรุ่นแรก และเครื่องรางของขลังต่างอีกมากมาย ซึ่งท่านได้สร้างไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่.
“ ขอศิษย์ทั้งหลาย จงอย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา ”
เพื่อเป็นคติเตือนใจให้แก่ประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธา และบรรดาลูกศิษย์ได้มุงมานะทำสัมมาอาชีพ ไม่กลัวต่ออุปสรรคใดๆ ที่นับถือหลวงพ่อ จงอย่าลืมมุ่งหน้าตั้งใจประพฤติอยู่ในศีลธรรม เพื่อทำมาค้าขายอะไร จะได้ขึ้น ได้ร่ำ ได้รวย สมใจปรารถนา…
การสร้างพระปิดตาของ หลวงพ่อแก้วนั้น โดยปกติแล้ว หลวงพ่อแก้ว ท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยละเอียดรอบคอบ ท่านเป็นผู้เห็นการณ์ไกล กล่าวคือ ในขณะที่ท่านสอนบาลีไวยากรณ์อยู่นั้น ท่านก็ได้เก็บเอาผงที่ลบการเรียนภาษาบาลีซึ่งเขียนเป็นอักษรขอม ที่มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ แล้วท่านก็จะนำผงอักขระที่ได้จากการลบ มาผสมกับผงพระพุทธคุณ หรือผงมหาราช เป็นต้น
เมื่อเอาผงดินสอ และผงพุทธคุณรวมเข้ากันแล้ว ท่านก็เอาเกสรดอกไม้ต่างๆ ตลอดจนใบไม้ เปลือกไม้ และเนื้อไม้ มาบดให้ละเอียดเป็นผง แล้วจึงนำมาผสมกับผงอักขระ(ผงลบ) เอาน้ำข้าวเหนียวมาผสมทำให้เหนียว จึงเอากดลงในแม่พิมพ์ที่ทำจากหินมีดโกน ก็สำเร็จเป็นองค์พระ
กล่าวกันว่าพระปิดตาที่ หลวงพ่อแก้ว สร้างในยุคแรกๆนั้น ท่านสร้างด้วยผงพุทธคุณ สีออกขาวก็มี สีออกเหลืองอ่อนบ้างก็มี และส่วนผสมที่สำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งคือ “ไม้ไก่กุก” ซึ่งถือเป็นของหายากมาก ทางด้านพุทธคุณนั้นนับว่าเป็นมหาเสน่ห์ มหานิยมสูง ยิ่งถ้าได้พระอาจารย์ที่มีอาคมแก่กล้าปลุกเสกแล้ว จะเป็นของเข้มขลังดีที่ประเสริฐยิ่งนัก
ระหว่างการสร้างพระปิดตาของ หลวงพ่อแก้ว นั้น จะมีพระภิกษุสามเณร และชาวบ้านทั้งชายและหญิง มาร่วมมือกันตลอดเวลาในการสร้าง ตอนหลังเกิดชอบพอ รักไคร่กัน เป็นเพราะเสน่ห์มหานิยมที่เกิดจากผงพุทธคุณ ที่สร้างพระติดมือ ติดขันน้ำ และปลิวตกลงไปในโอ่งน้ำ เมื่อต่างคนต่างดื่มกิน จึงเกิดความรักไคร่กันขึ้น
เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น หลวงพ่อแก้ว จึงได้เปลี่ยนวิธีการผสมเนื้อพระเสียใหม่ โดยการนำเอาผงพุทธคุณ ผสมคลุกเคล้ากับรักให้เหนียวแน่น ไม่หลุดง่าย เพื่อกันไม่ให้ผงปลิว หรือติดมือ ติดขันน้ำ จึงเกิดเป็น “พระปิดตาเนื้อผงคลุกรัก” ในยุคต่อมา
พระปิดตาของ หลวงพ่อแก้วนั้น มิใช่ว่าจะมีพุทธคุณดีทางด้านเมตตามหานิยมเท่านั้น แม้แต่ทางคงกระพันชาตรี ก็มีอยู่มิใช่น้อยเช่นกัน วงการพระเครื่องเมืองไทย จึงได้จัดพระปิดตา ของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ให้อยู่ในชุดพระเบญจภาคี เป็นอันดับ 1 และได้กำหนดแบบพิมพ์มาตรฐานสากล ได้รับความนิยมมากเช่น: พระปิดตา พิมพ์ใหญ่ , พระปิดตา พิมพ์กลาง , พระปิดตา พิมพ์เล็ก และ พระปิดตา พิมพ์ปั้นลอยองค์
ส่วนด้านหลังพระทั้ง 3 พิมพ์แรกนี้ เท่าที่พบเห็นมี 3 แบบ 3 พิมพ์ คือ
1. เป็นแบบหลังรูปพระปิดตา เรียกว่า “หลังแบบ”
2. แบบหลังยันต์
3. แบบหลังเรียบ หรือ “แบบหลังเบี้ย”
ส่วนเนื้อพระเป็นเนื้อผงพุทธคุณล้วน มีสีขาว สร้างยุคต้นซึ่งหายากมาก ต่อมาสร้างเป็นเนื้อคลุกรัก มีสีค่อนข้างดำ , นอกจากนี้หลวงพ่อแก้ว ท่านได้สร้างพระปิดตาเนื้อตะกั่วผสมปรอท แจกแก่ชาวบ้านที่ไปช่วยขนไม้(ซุง) ต้นใหญ่ๆนำมาสร้างกุฏิ เพื่อเอาไว้ป้องกันตัว ป้องกันคุณไสย และภูตผีปีศาจ เพราะเชื่อกันว่าผีกลัวปรอทมาก พระปิดตาเนื้อตะกั่วผสมปรอทของหลวงพ่อแก้วที่ว่านี้ก็คือ “พระปิดตาแลกซุง” สำหรับแจกแก่ชาวบ้านที่ไปช่วยกันลากไม้ซุงมาให้วัดนั้นเอง.
และมีอีกพิมพ์ที่ถือเป็นพระปิดตาแลกซุง ก็คือ พระปิดตา พิมพ์ปั้นลอยองค์ แต่จะบอกว่าเป็นวัดเครือวัลย์วัดเดียวไม่ได้ เพราะพิมพ์ปั้นนี้มีออกทั้งจากวัดเครือวัลย์ และที่ออกจากวัดปากทะเล อำเภอบ้านแหลม จังหวัดชลบุรี , พิมพ์ปั้นลอยองค์ ทุกองค์จะมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่เหมือนกัน เพราะจะปั้นทีละองค์ แต่จะมีลักษณะคล้ายๆกัน.
พระปิดตาเนื้อผงแท้ๆของ หลวงพ่อแก้ว นั้น เนื้อต้องละเอียด เพราะเมื่อท่านตำส่วนผสมเสร็จแล้วก็จะนำมากรอง จากนั้นใช้น้ำรักเป็นตัวประสาน บ้างก็ทารักแดง เรียกว่า “ชาดจอแส” เป็นรักมาจากเมืองจีน ปัจจุบันไม่มีแล้ว และใช้เม็ดรัก ซึ่งได้จากต้นรักที่เป็นมงคลนาม มาตำลงไป บางองค์จะเห็นเม็ดรักโผล่ขึ้นมา อาจเป็นสีดำหรือสีแดง แต่จำนวนไม่มาก ถ้ามีรักหรือทองไปปิดบัง ทองและรักต้องเก่ากว่า ซึ่งดูยาก หากคนที่มีความรู้เรื่องรักและทองจะได้เปรียบ เพราะพระปิดตา ของ หลวงพ่อแก้ว หายากกว่าพระสมเด็จ วัดระฆัง เพราะมีการสร้างจำนวนน้อยกว่า แต่สร้างในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน นั่นคือเมื่อประมาณ 150 – 180 ปีมาแล้ว.
นับตั้งแต่ ตรียัมปวาย ได้ขนานนามสุดยอดพระเครื่องแห่งสยามประเทศที่มีมาแต่โบราณกาล จนถึงปัจจุบัน โดยจัดเข้าชุดกันในชื่อ เบญจภาคี ซึ่งประกอบด้วย พระสมเด็จของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) , พระนางพญา วัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก , พระรอด วัดมหาวัน จังหวัดลำพูน , พระกำแพงซุ้มกอ จังหวัดกำแพงเพชร และพระผงสุพรรณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี พัฒนาการแห่งการศึกษาความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง เริ่มเป็นรูปแบบและมีมาตรฐานมากขึ้น มีการแยกแม่พิมพ์และแบ่งประเภท พระชุดเบญจภาคีอย่างเป็นระบบ สามารถพิสูจน์ และอรรถาธิบายได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ อันเป็นหลักแห่งเหตุและผล ส่งผลให้มีผู้ให้ความสนใจศึกษาค้นคว้า ในแวดวงที่กว้างขวาง เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ
นอกจากนี้ พระเครื่อง ยังผูกพันกับคติความเชื่อที่หยั่งรากลึกในมโนคติของสังคมไทยมาช้านาน ลักษณะการแห่งพิมพ์พระที่จำลองมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากเพียงแตกต่างทางด้านศิลปะสกุลช่างตามยุคสมัยที่ปรากฏ ทำให้ เบญจภาคี ทวีความสำคัญมากขึ้นในฐานะรูปแบบแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ประกอบไปด้วยพุทธานุภาพ อันเป็นพื้นฐานของความเชื่อทางศาสนา ซึ่งแสดงให้เห็นเอกลักษณ์สำคัญของสังคมไทยเรานั่นเอง….
ปล.
พระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย เป็นพิธีกรรมในศาสนาพราหมณ์–ฮินดู เป็นการรับเสด็จพระอิศวรที่จะเสด็จมาเยี่ยมโลกมนุษย์ เป็นเวลา 10 วัน ปัจจุบันประกอบการพระราชพิธีในเทวสถานสำหรับพระนคร 2 หลัง ได้แก่ สถานพระอิศวร สถานพระมหาวิฆเนศวร โดยมีกำหนดพิธี เริ่มตั้งแต่คณะพราหมณ์ผู้ประกอบ วิกิพีเดีย
พระเครื่องและวัตถุมงคลเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2480 หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านได้สร้างเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะแบบโบราณ เช่นเดียวกับเกจิอาหลายๆรูป ทั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภาอย่างสมบูรณ์แบบระหว่างปี พ.ศ.2475 เครื่องรางของขลังแบบโบราณดังกล่าวได้แก่จำพวกตะกรุด และผ้ายันต์ต่างๆ ตามภูมิปัญญาที่กลายเป็นกระแสนิยมในสมัยนั้น เพื่อว่าอาจจะเป็นอีกหนึ่งปาฏิหาริย์บันดาลให้แคล้วคลาดจากภยันอันตรายที่มาพร้อมกันกับสงครามขณะนั้นคุกคามประเทศของเราเกือบตลอดเวลาก็ว่าได้…
พระสมเด็จวัดระฆัง หลังรูปเหมือนสมเด็จโต รุ่นแรกแจกทาน ปี 2554 เป็ยพระพิมพ์สวยมวลสารดี พิธีเข้มขลัง พระธรรมธีรราชมหามุนี เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตารามฯ”เจ้าคุณเที่ยง” ประธานจัดสร้าง อธิษฐานจิตภายในกุฏิ 9 วัน 9 คืน ขอบารมีสมเด็จโตในวิหาร พระสมเด็จที่ประดิษฐานรูปเหมือนสมเด็จพุฒจารย์โต หม่อมเจ้าพระพุทธูปบาทปิลันทน์ และ สมเด็จพระโฆษาจารย์(ม.ร.ว.เจริญ) โดยพระสงฆ์ของวัดระฆังฯ อาทิ พระครูสิริธรรมวิภูษิต(พ่อท่านเจิด)วัดระฆังโฆสิตารามฯ พระครูวิมลธรรมธาดา(หลวงพ่อสวง)วัดระฆังโฆษิตาราม ท่านเจ้าคุณ พนะบวรรังษี วัดระฆังโฆษิตาราม พระครูปลัดธีรวัฒน์ วัดระฆังโฆษิตารามฯ อธิษฐานขอบารมี ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒจารย์โตเป็นที่สุด.
พระผงสมเด็จโต ที่ใช้แบบจากพระสมเด็จวัดระฆังที่มีค่ามหาศาล สร้างด้วยมวลสารเก่าที่ประกอบด้วยผงวิเศษทั้ง 5 คือ ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ผงพุทธคุณ และผงมหาราช ผสมน้ำมนต์บ่อสมเด็จโต ด้านหลังเป็นรูปเหมือนองค์สมเด็จพุฒจารย์(โต) และคำว่า”แจกทาน” บารมีสมเด็จโตสร้างพระสมเด็จ เป็นพระเครื่องอันดับหนึ่งมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมาย , สมเด็จแจกทานนี้ ขอบารมีสมเด็จโตช่วยดลบันดาลมาเสกให้ ทำพิธีเสกภายในวัดระฆังฯ โดยตั้งสัจจะอธิษฐานว่า “ขอให้สมเด็จแจกทานรุ่นนี้มีพุทธคุณเทียบเท่าพระสมเด็จโตสร้างเองกับมือด้วยเทิญ” สมเด็จรุ่นแจกทานนี้มีตรายางลายเซ็นสมเด็จโต หรือตราระฆังเป็นโค้ดทุกองค์.
ยันต์สังวาลเป๊ก หรือยันต์ 108 , ยันต์สังวาลเป๊ก หรือ ” ตะกรุดสังวาลเพชรป้องกันภัย ” เป็นตะกรุดคล้องคอ มีเอกลักษณ์อย่างล้านนา นิยมทำด้วยโลหะ หากเป็นทองและเงิน จะเน้นที่ความเป็นมหานิยม หรือถ้าจะเน้นด้านคงกระพัน ป้องกัน จะทำด้วยโลหะอื่นอย่าง ทองแดง ทองเหลือง หรือตะกั่ว เชื่อกันว่ายันต์สังวาลเป๊ก จะช่วยคุ้มภัยได้สารพัด ทั้งป้องกัน ทั้งเข้มขลังมหาอุด.
ยันต์สังวาลเป๊ก แบบโบราณ ผู้สร้างต้องลงอักขระ บนแผ่นโลหะให้ได้ 54 คู่ รวมแล้ว 108 ชิ้นร้อยสลับกัน ไม่ให้ผิด ปิดด้วยพ่อยันต์แม่ยันต์ เพื่อรักษาอาคมนั้น ส่วนสุดท้ายคือยันต์จำปาสี่ต้น หรือยันต์เก้ากุ่ม บ้างก็มีเฉพาะยันต์เก้ากุ่ม ซึ่งเน้นที่เมตตา ป้องกัน แคล้วคลาด ส่วนเส้นด้ายที่ใช้ร้อยสังวาลเป๊ก ต้องเป็นฝ้ายที่ปลูก ปั่น และย้อมเองจึงจะดี แต่ถ้าซื้อก็ห้ามต่อรองราคา
ยันต์อีกประเภทหนึ่ง ที่มีคุณลักษณะคล้ายกับยันต์สังวาลเป๊ก คือ ยันต์หัวใจ 108 สำหรับมัดเอว(บ้างก็เรียกตะกรุด 108 หรือ ยันต์ 108) ต่างกันที่ความยาว และขนาด รวมทั้งวิธีร้อยเชือก ในส่วนอักขระที่เหล่าเกจิอาจารย์จารลงแผ่นโลหะ คือหัวใจของพระคาถา อาจมีสูตรเฉพาะของแต่ละอาจารย์ก็ได้ เล่ากันว่า นิยมลงอักขระเฉพาะวันอังคาร อังคารละดอก หนึ่งเดือนทำได้เพียง 4 ดอก และหากจะได้ครบ 108 ดอก ต้องใช้เวลาเนิ่นนานมาก ดังนั้นจึงพบว่ามีเฉพาะลูกศิษย์ลูกหาใกล้ชิดเท่านั้นที่ได้ครอบครอง.
“มีดหมอ” เป็นเครื่องรางของชลังยุคเก่า ที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สำเร็จขึ้นด้วยไสยเวทชั้นสูงของเกจิอาจารย์ ผู้แก่กล้าวิชาอาคม ถือเป็นเทพแห่งศาสตราวุธทั้งปวง ใช้พกพาติดตัวสำหรับคุ้มครองป้องกัน และสยบทำลายศัตรู ที่ว่าคุ้มครองป้องกันนั้น คือ ใช้ป้องกันคุณไสย ของอาถรรพ์ ที่มีผู้กระทำขึ้นด้วยจิตคิดร้าย ทั้งยาสั่งยาดำ ใช้กำราบขับไล่มนต์ดำภูตผีปีศาจ และยังเป็นอาวุธสยบไสยเวทของศตรู ” แม้แต่คนที่มีวิชาอาคมหนังเหนียว อยู่ยงคงกระพันฟันไม่เข้า หากถูกแทงด้วยมีดหมอ ก็จะต้องเลือดตก ”
ตำราการสร้างมีดหมอมีหลายสำนัก ต่างกันทั้งกรรมวิธี วัสดุส่วนประกอบของตัวมีด พิธีกรรมการปลุกเสก ตามตำราสร้างที่ตกทอดสืบกันมา กล่าวกันว่า ใบมีดตีขึ้นจากโลหะอาถรรพ์หลายชนิด ได้แก่ ” ตะปูสังฆวานร ” เป็นตะปูตะกั่วใช้ตอกยึดเครื่องไม้ภายในโบสถ์ เมื่อมีการรื้อโบสถ์เก่า ก็จะเก็บตะปูไว้ เพราะถือว่าผ่านการสวดปฏิโมกข์ ของพระสงฆ์ภายในโบสถ์มาเป็นเวลายาวนาน , ” ตะปูตอกโลงศพ ” เมื่อสัปเหร่อเผาศพพร้อมโลง แล้วจะเก็บตะปูพร้อมกับ ” เหล็กที่ใช้ทิ่มผี “(เหล็กใช้เขี่ยศพในขณะเผา) นำไปให้หลวงพ่อสร้างมีดหมอ.
นอกจากนี้ ส่วนประกอบของมีดหมอยังมี ” บาตรแตก ” ใช้ลงอักขระยันต์ ” เหล็กน้ำพี้ ” เป็นเหล็กชั้นดีสมัยโบราณใช้ทำดาบออกศึก เมื่อรวบรวมไดครบแล้ว หาฤกษ์ยามบวงสรวงก่อน หลอมกับเหล็กชนวนแล้วตีเป็นใบมีด เบ้าหลอมต้องลงอักขระยันต์ต่างๆ ช่างตีมีกต้องถือศีลนุ่งห่มผ้าขาว เมื่อหลอมโลหะตีเป็นแผ่นแล้ว จึงนำไปให้พระอาจารย์ผู้ปลุกเสกจารยันต์ ลงอักขระยันต์บนแผ่นโลหะ แล้วนำกลับไปหลอมใหม่ ตีเป็นแผ่นโลหะแล้วนำกลับไปให้อาจารย์จารแผ่นโลหะอีกครั้ง ทำเช่นนี้หลายครั้ง ตามแต่ตำรา จะเห็นว่า แม้แต่ขั้นตอนการรวบรวมโลหะ และตีใบมีด ยังยุ่งยากซับซ้อนขนาดนั้น การจัดสร้างมีดหมอทั้งด้าม จึงเป็นงานละเอียดลึกซึ้ง ” พระอาจารย์ผู้สร้าง ต้องทรงคุณวิเศษแก่กล้าเอกอุ จึงจะสามารถประสิทธิ์ประสาทมนตราอาคม ให้มีดหมอทรงมหิทธานุภาพ อย่างเลีศล้ำเป็นพิเศษได้ ”
พระเนื้อผงใบลาน พิมพ์พระประธาน ปี 2521 หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี จ.กรุงเทพฯ เนื้อใบลานนี้ จัดสร้างน้อย หายากมาก
พระเครื่อง หลวงปู่โต๊ะ พิมพ์ประธานพร เป็นพระเนื้อผงที่จำลององค์ประธานในพระอุโบสถ ลงกรอบในพิมพ์รูปใบโพธิ์ ด้านหลังเป็นยันต์ตรีนิสิงเห สร้างด้วยเนื้อผงใบลาน บรรจุตะกรุดใต้ฐานองค์พระ
พุทธคุณ : เมตตามหานิยม ช่วยให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
หลวงปู่โต๊ะ ท่านเป็นพระสงฆ์ที่อุทิศตนบำเพ็ญเพียรอย่างเคร่งครัดสม่ำเสมอ มีวัตรปฎิบัติที่งดงามมาตลอด ชีวิตที่อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ เรื่องพุทธคุณให้โชคลาภนั้นทวีคูณ กับผู้ประพฤติตนดี ตามคำสอนของหลวงปู่โต๊ะ ท่านจะพบแต่โชคลาภ ประสบผลสำเร็จในทุกเรื่อง ถ้าเราเป็นคนดี กตัญญูกับบิดา-มารดา จะได้รับความรักความเมตตาจากผู้คนรอบข้างมากมาย และแคล้วคลาด ปลอดภัย อย่างน่าอัศจรรย์.
หลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2430 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และหลวงปู่ ท่านมรณภาพลงในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2524 เวลา 9:55 น. ด้วยอาการสงบ รวมสิริอายุ 93 ปี 73 พรรษา
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดให้เชิญพระศพไปตั้งที่ศาลา 100 ปี วัดเบญจมบพิตร พระราชทานเกียรติยศศพเป็นพิเศษ เสนอพระราชาคณะชั้นธรรม
พระราชทานโกศโถบรรจุศพ พร้อมฉัตรเบญจาเครื่องประกอบเกียรติยศครบทุกประการ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่การศพโดยตลอด เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศล 7 วัน 50 วัน 100 วัน และตามโอกาสอันควรหลายวาระ พระราชทานเพลิงพระศพ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส.
พระสีวลีเถระ หรือ พระสีวลี เป็นพระภิกษุสาวกเอตทัตคะ ของพระพุทธเจ้านับเนื่องในพระอสีติมหาสาวก 80 องค์สำคัญในพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล
พระสีวลีเถระ เป็นเจ้าชายในโกลิยวงศ์ ออกบวชในสำนักพระสารีบุตร บรรลุพระอรหันต์ในขณะที่ปลงเกศานั่นเอง และหลังจากผนวช ท่านเป็นผู้มีลาภสักการะ มากด้วยกุศลกรรมที่ทำมาแต่อดีต ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้รับยกย่อง จากพระพุทธองค์ให้เป็นเอตทัคคะผู้เลีศในทาง ผู้มีลาภมาก
พระสีวลี เป็นพระโอรสของพระนางสุปปวาสา ผู้เป็นพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงโลกิยะ อยู่ในพระครรภ์ถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เมื่อทรงพระครรภ์ทำให้พระมารดาสมบูรณ์ด้วยลาภสักการะมาก เมื่อประสูติก็ประสูติง่ายดาย พุทธนุภาพที่ทรงพระราชทานพรว่า “ขอพระนางสุปปวาสา จงมีความสุข ปราศจากโรคพยาธิ ประสูติพระราชบุตรผูไม่มีโรคเถิด”
เมื่อประสูติและพระยูรญาติขนานถวายพระนาว่า สีวลีกุมาร ในวันที่นิมนต์พระพุทธเจ้ามาเสวยภัตตาหารตลอด 7 วัน สีวลีกุมาร ก็ได้ถือธมกรกรองน้ำถวายพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ตลอด 7 วัน
เมื่อเจริญวัย ท่านได้ออกผนวชในสำนักพระสารีบุตร ได้บรรลุอรหันต์ผลในเวลาปลงเกศาเสร็จ จากนั้นมาท่านสมบูรณ์ด้วยลาภสักการะไม่ขาด ด้วยปัจจัย 4 ทั้งปวง ด้วยเหตุนี้จึงได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ให้เป็น เอตทัคคะผู้เลีศในทาง ผู้มีลาภมาก
ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาไม่ระบุว่า ท่านดับขันธปรินิพพานที่ใด แต่ท่านคงดำรงขันธ์อยู่พอสมควรแก่กาล จึงปรินิพพาน
เนื่องจากพระสีวลีเถระ เป็นพระอรหันต์ที่ได้รับการยกย่อง ให้เป็นเอตทัคคะผู้เลีศในทาง ผู้มีลาภมาก คนไทชเชื่อว่าผู้ใดได้บูชาพระสีวลีเถระแล้ว จะได้รับโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา ซึ่งคนไทยยังเชื่ออีกว่า เคยมีคนผู้หนึ่งได้รับมาแล้วในสมัยพุทธกาลก็คือ มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเกิดในตระกูลพ่อค้า มีนามว่า สุภาวดี นางได้เลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนา และเคารพนับถือพระสีวลีเถระเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อแม่นางได้ฟังธรรมจนลึกซึ้ง พระสีวลีก็ได้ให้ศีลให้พรว่า “จงเจริญด้วยทรัพย์สิน เงินทองจากการค้าขาย เงินทองไหลมาเทมา สมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยเถิด”
หลังจากที่ นางสุภาวดี ได้รับพรจากพระสีวลีเถระแล้ว ไม่ว่านางและผู้เป็นบิดามารดา จะไปค้าขายที่ใด ก็จะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีแต่กำไรหลั่งไหลเข้ามาทุกครั้งไป ซึ่งนางสุภาวดีนั้น ได้เป็นที่รู้จักของคนไทยเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือ “นางกวัก” นั้นเอง.