หลวงปู่ศุข

หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

เรื่องราวของ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า มิใช่แค่การท่องจำประวัติจากตำรา แต่ต้องเป็นการร้อยเรียงเรื่องราวจากความรู้สึก จากความศรัทธาที่ฝังลึก จากประสบการณ์ที่ได้ยินได้ฟังจากคนเฒ่าคนแก่ ผู้ที่เคยเห็น เคยสัมผัสความอัศจรรย์ด้วยตัวเอง และจากตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาจนกลายเป็นเรื่องราวเหนือกาลเวลา
เรื่องราวของหลวงปู่ศุขนั้น มิใช่แค่เรื่องราวของพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่ง แต่คือเรื่องราวของพุทธาคมอันเป็นอมตะ คือเรื่องราวของเมตตาบารมีที่แผ่ไพศาล คือเรื่องราวของครูบาอาจารย์ผู้เป็นที่เคารพรักของทุกชนชั้น ตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาไปจนถึงเชื้อพระวงศ์ระดับสูง ความยิ่งใหญ่ของท่านนั้นเปรียบดั่งขุนเขาที่มั่นคงไม่มีวันสั่นคลอน ชื่อเสียงของท่านนั้นก้องกังวานไปทั่วทั้งแผ่นดินมานับร้อยปี และยังคงเป็นที่กล่าวขานสืบมาจนถึงทุกวันนี้

หลวงปู่สุข เกสโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า

หลวงปู่สุข เกสโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า


ชาติกำเนิดและปฐมวัย: เพชรในตมที่รอวันฉายแสง

“หลวงปู่ศุข” นั้นไม่ได้มาพร้อมกับชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว แต่มาพร้อมกับเรื่องราวปาฏิหาริย์และอภินิหารที่มากมายนับไม่ถ้วน เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกบอกเล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และทำให้ศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อท่านนั้นแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นถึงความผิดธรรมดาในตัวลูกชาย และหวังว่าวันหนึ่งลูกชายจะได้เป็นใหญ่เป็นโต
เรื่องราวที่น่าสนใจในช่วงวัยเด็กของท่านคือการได้ไปร่ำเรียนหนังสือกับเพื่อนๆ ที่วัดใกล้บ้าน ซึ่งในสมัยนั้นวัดเป็นศูนย์รวมความรู้และเป็นสถานศึกษาของชุมชน เด็กชายศุขได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเรียนรู้ที่โดดเด่นกว่าเพื่อนๆ ความจำของท่านเป็นเลิศและมักจะเข้าใจหลักธรรมคำสอนต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งกว่าคนในวัยเดียวกัน

ตะกรุดสาริกาจันทร์เพ็ญ ลงรักถักเชือก หลวงปู่ศุข
สู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์: เส้นทางแห่งการแสวงหาและพุทธาคม


เมื่อเติบโตขึ้นมาถึงวัยหนุ่ม ท่านได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตนั่นคือการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ตามประเพณี ณ วัดโพธิ์บางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี พระครูธรรมิกวัดโพธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ นี่คือจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของพระภิกษุรูปหนึ่งที่ต่อมาจะกลายเป็นตำนานแห่งวงการพระเครื่องและพระเกจิอาจารย์อันดับต้นๆ ของเมืองไทย
หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดโพธิ์เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและปริยัติธรรมอย่างเคร่งครัด แต่ด้วยจิตใจที่ใฝ่ในพุทธาคมและวิชาอาคมต่างๆ ทำให้ท่านได้กราบเรียนวิชาจากครูบาอาจารย์หลายรูปในยุคนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระอาจารย์เชย ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมแก่กล้าในยุคนั้น หลวงปู่ศุขได้ศึกษาและฝึกฝนวิชาต่างๆ อย่างจริงจัง ทั้งวิชาคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม แคล้วคลาด และวิชาไสยเวทอื่นๆ อีกมากมาย
ในยุคสมัยนั้น การเดินทางเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมถือเป็นเรื่องปกติของพระเกจิอาจารย์หนุ่มๆ หลวงปู่ศุขเองก็เช่นกัน ท่านได้เดินทางไปศึกษาเพิ่มเติมจากพระอาจารย์อีกหลายรูป ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเรื่องราวเล่าขานกันว่าท่านได้ไปร่ำเรียนวิชาจาก หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า อีกรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในยุคนั้นเช่นกัน ทำให้หลายคนสับสน แต่ความจริงคือหลวงปู่ศุข (วัดปากคลองมะขามเฒ่า) เป็นผู้มีวิชาอาคมที่โดดเด่นจนไม่ต้องไปเรียนจากใครที่ไหน และชื่อเสียงของท่านนั้นเองที่ก้องกังวานไปทั่ว
หลังจากสำเร็จวิชาต่างๆ อย่างแตกฉานแล้ว ท่านก็ได้กลับมาจำพรรษาที่บ้านเกิด ณ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นวัดเล็กๆ ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม ท่านได้เริ่มต้นพัฒนาวัดและช่วยเผยแผ่พระธรรมคำสอนให้แก่ชาวบ้านในชุมชนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ตะกรุดสาริกาจันทร์เพ็ญ ลงรักถักเชือก หลวงปู่ศุข
ปาฏิหาริย์และอภินิหาร: ตำนานที่เล่าขานไม่รู้จบ

คำว่า “หลวงปู่ศุข” นั้นไม่ได้มาพร้อมกับชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว แต่มาพร้อมกับเรื่องราวปาฏิหาริย์และอภินิหารที่มากมายนับไม่ถ้วน เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกบอกเล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และทำให้ศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อท่านนั้นแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
* เรื่องราวปลัดกรมที่ดิน: เรื่องนี้โด่งดังมากในวงการพระเครื่อง เล่ากันว่ามีปลัดกรมที่ดินคนหนึ่งชื่อ นายปลัดทิม ได้เดินทางมาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าเพื่อขอให้หลวงปู่ศุขช่วยทำของขลังให้ แต่หลวงปู่ศุขท่านไม่ได้รับปากในทันที กลับบอกให้ปลัดทิมรอดูความอัศจรรย์เสียก่อน จากนั้นท่านก็ได้เดินไปที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วหยิบเอาใบมะขามมาใบหนึ่ง เสกคาถาเป่าไปที่ใบมะขามนั้น ปรากฏว่าใบมะขามได้กลายเป็นตัว “ต่อ” ที่มีชีวิต บินไปเกาะตามต้นไม้ สร้างความตกตะลึงให้กับนายปลัดทิมเป็นอย่างมาก เมื่อนายปลัดทิมได้เห็นดังนั้นก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง และได้ขอให้หลวงปู่ศุขสร้างพระให้ ซึ่งต่อมากลายเป็น “พระพิมพ์สี่เหลี่ยมประภามณฑล” อันโด่งดัง
* เรื่องราวเสกหัวปลีเป็นกระต่าย: เรื่องนี้ก็เป็นที่เล่าขานกันอย่างกว้างขวาง เล่าว่ามีชาวบ้านคนหนึ่งนำหัวปลีมาถวายหลวงปู่ศุข ท่านก็รับไว้แล้วก็เสกคาถาเป่าไปที่หัวปลีนั้น ไม่นานหัวปลีนั้นก็ได้กลายเป็น “กระต่าย” ที่มีชีวิต กระโดดโลดเต้นไปมาอย่างน่าอัศจรรย์ ชาวบ้านคนนั้นได้เห็นดังนั้นก็ก้มลงกราบแทบเท้าด้วยความเคารพศรัทธาอย่างสุดซึ้ง
* เรื่องราววิชาเดินทางข้ามน้ำ: มีเรื่องเล่าว่า หลวงปู่ศุขท่านสามารถเดินข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปอีกฝั่งหนึ่งได้โดยที่เท้าไม่เปียกน้ำ ชาวบ้านหลายคนเคยเห็นด้วยตาตัวเอง และบางคนก็เล่าว่าท่านเคยเสกคาถาให้เรือหยุดนิ่งกลางแม่น้ำ หรือเสกให้เรือลอยทวนกระแสน้ำได้โดยไม่ต้องใช้แรงคนพาย
เรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากเรื่องราวมากมายที่เล่าขานกันมา แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้คือความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารของหลวงปู่ศุขนั้นเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนในยุคนั้นเป็นอย่างดี

สมเด็จรัศมี เนื้อผงใบลาน
พระราชศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่: พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างหลวงปู่ศุขกับ เสด็จในกรมฯ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ถือเป็นบทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบทหนึ่งในประวัติของท่าน เป็นการรวมกันของ “พ่อ” ผู้เป็นเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคม กับ “ลูก” ผู้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินผู้รักชาติและมีความมุ่งมั่น
เล่ากันว่าเสด็จในกรมฯ ท่านได้ยินกิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ศุขจากชาวบ้าน และด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่สนใจในวิชาอาคมอยู่แล้ว จึงได้เดินทางมาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าเพื่อทดลองวิชาของหลวงปู่ศุข
ครั้งหนึ่งเสด็จในกรมฯ ได้ขอให้หลวงปู่ศุขช่วยเสกให้ปลาที่อยู่ในแม่น้ำกระโดดขึ้นมาบนบก หลวงปู่ศุขท่านก็เพียงแค่หยิบเอาทรายมาหนึ่งกำมือ แล้วเสกคาถาเป่าไปที่ทรายนั้น จากนั้นก็โปรยทรายลงไปในแม่น้ำ ไม่นานปลามากมายในแม่น้ำก็กระโดดขึ้นมาบนบกอย่างน่าอัศจรรย์ สร้างความประทับใจให้กับเสด็จในกรมฯ เป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่นั้นมาเสด็จในกรมฯ ก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข และให้ความเคารพนับถือท่านประดุจพ่อ
เสด็จในกรมฯ ได้มาจำศีลภาวนาและศึกษาพุทธาคมจากหลวงปู่ศุขเป็นประจำที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า และยังได้นำวิชาความรู้ต่างๆ ที่ได้เรียนรู้จากท่านไปใช้ในการฝึกฝนทหารเรือเพื่อปกป้องประเทศชาติ ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทั้งสองพระองค์นี้เองที่ทำให้ชื่อเสียงของหลวงปู่ศุขเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งราชสำนักและวงการทหารเรือ และยังเป็นที่มาของตำนาน “พระเครื่องหลวงปู่ศุข” ที่โด่งดังและเป็นที่เสาะแสวงหาในปัจจุบัน

พระหลวงปู่สุข พิมพ์ประภามณฑล ข้างรัศมี เนื้อสัมฤทธิ์ พิมพ์สองหน้า และ เนื้อทองแดง

พระหลวงปู่สุข พิมพ์ประภามณฑล ข้างรัศมี เนื้อสัมฤทธิ์ พิมพ์สองหน้า และ เนื้อทองแดง


การสร้างวัตถุมงคล: เพชรยอดมงกุฎแห่งวงการพระเครื่อง

วัตถุมงคลที่หลวงปู่ศุขสร้างขึ้นนั้น เป็นที่ยอมรับกันในวงการว่ามีพุทธคุณครอบจักรวาล ทั้งด้านคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย และโชคลาภเงินทอง ซึ่งมีหลากหลายพิมพ์และหลากหลายเนื้อหา แต่ที่โดดเด่นและเป็นที่ใฝ่หาของนักสะสมพระเครื่องอย่างยิ่งคือ
* พระพิมพ์สี่เหลี่ยมประภามณฑล: พิมพ์นี้ถือเป็นพิมพ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด สร้างขึ้นจากเนื้อผงคลุกรัก มีทั้งแบบหลังเรียบและหลังยันต์ ยันต์อุ หรือ ยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ ซึ่งเป็นยันต์ที่หลวงปู่ศุขท่านได้ปลุกเสกอย่างเข้มขลัง พุทธคุณเด่นด้านเมตตามหานิยมและแคล้วคลาดปลอดภัย
* พระพิมพ์สี่เหลี่ยมรัศมี: คล้ายกับพิมพ์ประภามณฑล แต่มีรัศมีอยู่รอบองค์พระ พุทธคุณไม่แตกต่างกันมากนัก
* เหรียญปั๊มรูปเหมือน: มีหลายรุ่นด้วยกัน แต่รุ่นที่โด่งดังที่สุดคือ เหรียญปั๊มข้างกระบอก และ เหรียญพัดยศ ซึ่งสร้างขึ้นในวาระที่หลวงปู่ศุขได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูวิมลคุณากร เป็นที่นิยมอย่างสูงในวงการพระเครื่อง
* เครื่องรางของขลัง: นอกจากพระเครื่องแล้ว หลวงปู่ศุขยังได้สร้างเครื่องรางของขลังอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ตะกรุด ที่มีหลายรูปแบบและหลายขนาด ปลัดขิก และ แหวนพิรอด ซึ่งล้วนแต่มีพุทธคุณอันเป็นที่ประจักษ์
การสร้างวัตถุมงคลของหลวงปู่ศุขนั้น มิใช่เพียงแค่การทำของขลังขึ้นมา แต่เป็นการหลอมรวมเอาพุทธคุณอันบริสุทธิ์ของท่านเข้าไปในทุกชิ้น เป็นการถ่ายทอดเมตตาบารมีและวิชาอาคมอันแก่กล้าลงไปในวัตถุ ทำให้วัตถุมงคลของท่านมีพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ และเป็นที่เสาะหาของนักสะสมพระเครื่องจากทั่วทุกมุมโลก

สมเด็จรัศมี เนื้อชมพู
ละสังขาร: การจากไปของผู้ไม่เคยจากไป

หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้ละสังขารลงอย่างสงบเมื่อปี พ.ศ. 2466 สิริอายุ 76 ปี พรรษา 54 การจากไปของท่านนับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวบ้านและศิษยานุศิษย์ทั่วทั้งแผ่นดิน แต่ถึงแม้สังขารของท่านจะดับสูญไปแล้ว แต่ชื่อเสียงและตำนานของท่านก็ยังคงอยู่ตราบนิรันดร
ทุกวันนี้ชื่อของ หลวงปู่ศุข ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึงอยู่เสมอในวงการพระเครื่อง พระเครื่องของท่านยังคงเป็นที่ต้องการและมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพราะความนิยมที่เลื่อนลอย แต่เป็นเพราะพุทธคุณที่ประจักษ์แก่ผู้ที่ศรัทธาและนำไปบูชาอย่างแท้จริง
การได้ครอบครองพระเครื่องของหลวงปู่ศุขนั้นเปรียบเสมือนการได้ครอบครองความศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาจากเกจิอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นที่รักและเคารพของทุกชนชั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความเมตตาและบารมีอันยิ่งใหญ่ของท่านที่ยังคงแผ่ไพศาลมาจนถึงทุกวันนี้ และจะเป็นตำนานที่เล่าขานสืบไปไม่รู้จบชั่วนิรันดร์

 

กำเนิดเครื่องรางของขลัง

กำเนิดความเป็นมาเครื่องรางของขลัง

จากบันทึกในตำราพิชัยสงครามกล่าวว่า นักรบจะมีเครื่องรางของขลังติดตัวเพื่อสร้างผลให้เกิดเป็นมงคล คงกระพัน แคล้วคลาด ยามออกศึกสงคราม โดยมีหลากหลายชนิด หลายลักษณะ ซึ่งมักจะได้รับมาจากพระสงฆ์ซึ่งชาวบ้านนับถือ มีจิตญาณสูง เก่งทางวิชาอาคม และนักรบจะมีความเชื่อต่อของขลังนั้นๆ อย่างมั่นคง จะเห็นได้จากการสืบทอดสรรพตำราตกทอดกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ซึ่งเครื่องราง สามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทต่างๆดังนี้

เครื่องรางของขลัง

แบ่งตามการเกิดมาของเครื่องราง ได้แก่

  1.   เป็นสิ่งที่เกิดมาจากธรรมชาติ ไม่มีการสรรค์สร้าง ถือว่ามีดีในตัวและมีเทวดารักษาสิ่งนั้น เช่น เหล็กไหล คดต่างๆ เขากวางคุด เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือกลวง เถาวัลย์ ฯลฯ
  2.   เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาใหม่ ด้วยการนำแร่ธาตุต่างชนิด มาหลอมตามสูตรการเล่นแร่แปรธาตุในสมัยก่อน เช่น เมฆสิทธิ์ เมฆพัดเหล็กละลาย ตัวสัมฤทธิ์นวโลหะ สัตตะโลหะ ปัญจโลหะ เป็นต้น ทั้งนี้ครอบคลุมไปถึงเครื่องรางลักษณะต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงน์คุ้มกันภัยอันตราย

เครื่องรางของขลัง

 เครื่องคาด อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้คาดศีรษะ คาดเอว และคาดแขน ฯลฯ

  1.   เครื่องสวม อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้สวมคอ สวมศีรษะ สวมแขน สวมนิ้ว ฯลฯ
  2.   เครื่องฝัง อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้ฝังลงไปในเนื้อหนังของคน เช่น เข็มทอง ตะกรุดทอง ตะกรุดสาลิกา (ใส่ลูกตา) และการฝั้งเหล็กไหลหรือฝังโลหะมงคลต่างๆ ลงไปในเนื้อ จะรวมอยู่ในพวกนี้ทั้งสิ้น
  3.   เครื่องอม อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้อมในปาก อาทิเช่น ลูกอม ตะกรุดลูกอม (สำหรับในข้อนี้ไม่รวมถึงการอมเครื่องรางชนิดต่างๆ ที่มขนาดเล็กไว้ในปาก เพราะไม่เข้าชุด)

แบ่งตามวัสดุของเครื่องราง ได้แก่

  1.   โลหะ
  2.   ผง
  3.   ดิน
  4.   วัสดุอย่างอื่น เช่น กระดาษสา ชัน โรงดิน ขุยปู
  5.   จากสัตว์ เช่น เขี้ยวสัตว์ เขาสัตว์ งาสัตว์ เล็บสัตว์ หนังสัตว์
  6.   จากชิ้นส่วนคนตาย เช่น ผมผีพราย ผ้าตราสัง ผ้าห่อศพ ผ้าผูกคอตาย
  7.   จากทั่ว ๆ ไป เช่น ผ้าทอ

เครื่องรางของขลัง

แบ่งตามรูปแบบลักษณะที่เห็นของเครื่องราง ได้แก่

  1.   เพศชาย อันได้แก่ รักยม กุมารทอง ฤๅษีพ่อเฒ่า ชูชก หุ่นพยนต์พระสีสแลงแงง และสิ่งที่เป็นรูปของเพศชายต่างๆ
  2.   เพศหญิง อันได้แก่ แม่นางกวัก แม่พระโพสพ แม่ครีเรือน แม่ซื้อ แม่หม่อมกวัก เทพนางจันทร์ พระแม่ธรณี และสิ่งที่เป็นรูปของ ผู้หญิงต่างๆ
  3.   สัตว์ ในที่นี้หมายถึงพระโพธิสัตว์ อาทิ เสือ ช้าง วัว เต่า จระเข้ งู ดังนี้เป็นต้น…

เครื่องลางของขลัง

แบ่งตามขั้นลำดับและระดับชั้นของการปลุกเสกเครื่องราง ได้แก่

  1.   เครื่องรางชั้นสูง อันได้แก่ เครื่องรางที่ใช้บนส่วนสูงของ ร่างกายซึ่งนับตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงบั้นเอว สำเร็จด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
  2.   เครื่องรางชั้นต่ำ อันได้แก่ เครื่องรางที่เป็นของต่ำ เช่น ปลัดขิก อีเป๋อ (แม่เป๋อ) ไอ้งั่ง (พ่องั่ง) ไม่ได้สำเร็จด้วยของสูง
  3.   เครื่องรางที่ใช้แขวน อันได้แก่ ธงรูปนก รูปตั๊กแตน รูปปลาหรือกระบอกใส่ยันต์ และอื่นๆ

เมื่อเราแบ่งแยกออกเป็นหมวดหมู่ให้เห็นกันง่ายๆ ขึ้นแล้ว เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกันว่า ที่มาของการสร้างเครื่องรางนั้นแต่เดินสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ซึ่งขออธิบายง่ายๆ คือ ในสมัยก่อนนั้นโลกยังไม่มีศาสนา มนุษย์รู้จักเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น เช่นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และดาวตกหรือแม้กระทั่งไฟ

ดังนั้นเมื่อคนสมัยก่อนเห็นพระอาทิตย์มีแสงสว่างก็เกิดความเคารพ แล้วเขียนภาพดวงอาทิตย์ไว้ในผนังถ้ำ เพื่อให้เกิดความอุ่นใจในยามค่ำคืน เมื่อเขียนใส่ผนังถ้ำแล้วก็มาสลักลงบนหินเพื่อติดตัวไปมาได้ ก็กลายเป็นเครื่องรางไปโดยบังเอิญ ต่อมาเมื่อรู้จักไฟก็คิดว่าไฟเป็นเทพเจ้า เกิดการบูชาไฟ ทำรูปดวงไฟ

ต่อมาเมื่อมีการเดินทางมากได้พบเห็นสิ่งประหลาดต่างๆ เช่น นก ที่มีรูปร่างประหลาด ก็คิดว่าเป็นเทพ จึงสร้างรูปเคารพของเทพต่างๆและค่อยๆ เปลี่ยนรูปมาเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากประเทศอียิปต์ กรีกและโรมัน เพราะเป็นประเทศที่มีเครื่องรางมากมาย

ต่อมาในช่วงพุทธกาลราวเมื่อ 2,000 ปีเศษ ศาสนาพราหมซึ่งถือเอาพระผู้เป็นเจ้าเป็นสรณะก็บังเกิดขึ้น พระผู้เป็นเจ้านั้นคือพระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม และเมื่อต้องการความสำเร็จผลในสิ่งใด ก็มีการสวดอ้อนวอนอันเชิญ ขออำนาจของเทพเจ้าทั้งสามให้มา บันดาลผลสำเร็จที่ต้องการนั้นๆ การกระทำดังกล่าวนี้ จะต้องมีเครื่องหมายทางใจเพื่อการสำรวม ฉะนั้นภาพจำหลักของเทพเจ้าจึงมีกิดขึ้น จะเห็นได้จากรูปหะริหะระ” (HariHara) แห่งประสาทอันเดต (PrasatAndet) ที่พิพิธภัณฑ์เมืองพนมเปญ อันเป็นภาพจำหลักของพระนารายณ์ในศาสนาพราหมณ์ หรือเทวรูปมหาพรหมแห่งพิพิธภัณฑ์กีเมต์ที่ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นมาด้วยความมุ่งหมายเอาเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางใจในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นศาสนาเก่าแก่ในประเทศอินเดีย

ในเวลาต่อมาพระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้นในโลกโดยพระบรมศาสดา(เจ้าชายสิทธัตถะ) เป็นผู้ทรงค้นพบอมตะธรรมอันวิเศษ โดยมีผู้เลื่อมใส สักการะแล้วยึดเป็นสรณะ ดังนั้นพระพุทธองค์ทรงมีพระสาวกตามเสด็จ และร่วมประพฤติปฏิบัติด้วยมากมาย จนเป็นพระอสีติมหาสาวกขึ้น ซึ่งท่านมหาสาวกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ทรงไว้ในความเป็นเอตทัลคะในด้านต่างๆกัน ได้แก่ พระสารีบุตรทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางปัญญา พระโมคคัลลานะทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางอิทธิฤทธิ์ (ในพระพุทธศาสนานั้นผู้ที่สำเร็จญาณสมาบัติได้ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ย่อมแสดงอิทธิฤทธิ์ได้หลายอย่างเป็นอเนกประการ อิทธิฤทธิ์เหล่านี้เรียกว่า อิทธิปาฏิหาริย์เป็นการกระทำที่สามัญชนไม่สามารถจะกระทำได้ ดังมีหลักฐานปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมากมาย) ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงไว้ด้วยคุณ 3 ประการคือ

  1.   พระเมตตาคุณ
  2.   พระปัญญาคุณ
  3.   พระบริสุทธิคุณ

ดังนั้นพระเถระผู้มีญาณสมาบัติก็มักจะใช้ฤทธิ์ของท่านช่วยมนุษย์ และสัตว์โลกซึ่งถือเอาหลักพระเมตตาคุณ เป็นการเจริญรอยตามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระบรมศาสนานั้นเอง

เครื่องรางของขลัง

เครื่องราง – เครื่องลาง

คำว่าเครื่องรางกับเครื่องลางคำใดจึงเป็นคำที่ถูกต้อง ซึ่งในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานระบุว่าเครื่องรางหมายถึงเครื่องป้องกันภัยที่ทำสำเร็จด้วย ราง หรือ ร่อง แต่สำหรับนักนิยมสะสมเครื่องรางระดับสากลนิยมที่จะเรียกว่าเครื่องลางมากกว่า โดยหมายถึงเครื่องที่ใช้เกี่ยวกับโชคลาง เครื่องคุ้มครอง ปกป้อง กันภัย เพราะแต่เดิมนั้นมนุษย์ทำของเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่เรียกว่า ลางหรือสิ่งป้องกันภัย อันจะเกิดในอนาคต ให้แคล้วคลาด นั่นเอง.