พระกรุเมืองใต้ พระซุ้มชินราช ปรกโพธิ์ พิมพ์ใหญ่
พระซุ้มชินราช ปรกโพธิ์ พิมพ์ใหญ่ เป็นหนึ่งในพระชุดไตรภาคี พระเครื่องยอดนิยม อันดับหนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราช สมัยเมื่อ 20-30 ปีมาแล้ว ที่กล่าวขวัญกันในวงการนักเลงพระยุคนั้นว่า “ท่าเรือ นางตรา นาสนธิ์”คือ พระพิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์ใหญ่ กรุวัดท่าเรือ , พระพิมพ์นาคปรกใหญ่ กรุวัดนางตรา และ พระพิมพ์ใบพุทรา หรือ พิมพ์ยอดขุนพล กรุวัดนาสนธิ์ ณ ปัจจุบันยังคงเป็นที่นิยมสูง และ เสาะแสวงหากันอยู่ แต่ค่อนข้างหาดูได้ยากกว่าแต่ก่อนมาก
ประวัติ วัดท่าเรือ
วัดท่าเรือ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนาฏศิลป์ เมืองนครศรีธรรมราช แต่จากหลักฐานในหนังสือใบลานผูก เขียนแบบสมุดข่อย ซึ่งสันนิษฐานว่า เขียนขึ้นโดยบัณฑิต ในสมัยสมเด็จพระนาราณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยธยา ระบุว่าวัดท่าเรือ หรือ วัดท่าโพธิ์ นี้ สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมาโศกราช โดยพระองค์ทรงสถาปนาวัดท่าเรือร่วมกับพระภิกษุชาวลังกา เพื่อประดิษฐานวิหารพระเจดีย์ รวมทั้งสร้างพระพิมพ์ขนาดต่างๆขึ้น เพื่อฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ.1773
ปราฏิหริย์พระกรุ วัดท่าเรือ
ในสมัยสงคราม ใช้เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันอันตรายแก่ผู้ที่อาราธนาติดตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่ป้องกันชาติบ้านเมือง พระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมาโศกราช ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกล ที่จะให้ชนรุ่นหลังผู้ทำหน้าที่รักษาบ้านเมือง ได้นำติดตัวออกไปป้องกันภัย เมื่อยามจำเป็น จึงทรงผูกลายแทงไว้คู่กับวัดท่าเรือ
ต่อมาทวดศักดิ์สิทธิ์ วัดศาลามีชัย ได้แก้ลายแทงขุมทรัพย์วัดท่าเรือให้เจ้าพระยานคร(น้อย) และ ให้ทหารขุดเอาพระกรุท่าเรือไปป้องกันตัวในสงครามปราบกบฏเมืองไทรบุรี-กลันตันเป็นครั้งแรก ในปลายสมัยรัชกาลที่ 2 พระกรุวัดท่าเรือ ได้แสดงปาฏิหาริย์ สามารถประกาศชัยชนะสยบศัตรูได้อย่างราบคาบ เจ้าพระยานคร(น้อย)ได้รับความดีความชอบ เลื่อนยศขึ้นเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช(น้อย) องค์สุดท้ายของประวัติศาตร์เมืองนครศรีธรรมราช
หลังจากนั้นได้อาราธนาพระกรุท่าเรือติดตัวในการทำสงคราม อีกหลายต่อหลายครั้ง อาทิ สงครามมหาเอเชียบูรพา ปี พ.ศ.2484 เหล่าศัตรูเกรงขามในความคงกระพันชาตรีของทหารเมืองนครศรีฯ เป็นอย่างมาก แต่ในสมัยก่อนนั้น เมื่อเสร็จสิ้นสงคราม แต่ละครั้งเหล่าทหารก็จะนำพระกลับไปคืนเก็บไว้ที่วัดดังเดิม โดยใส่ไหใส่ตุ่มฝังไว้บ้าง โยนไว้แถวเจดีย์ ใต้ต้นไม้ หรือ บริเวณลานวัดบ้าง ด้วยยังเชื่อถือกันเคร่งครัดว่า พระต้องอยู่วัดเท่านั้น
การขุดพบพระกรุวัดท่าเรือ
เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไป วัดท่าเรือได้แปรสภาพเป็นวัดที่รกร้าง มาเป็นเวลายาวนาน ศาสนสถาน และ ศาสนวัตถุต่างๆ ปรักหักพังเสื่อมโทรม องค์พระที่ทับถมอยู่ตามบริเวณต่างๆภายในวัดท่าเรือ จนเมื่อกรมศิลปากรได้ทำการปรับที่ดิน เพื่อสร้างวิทยาลัยนาฏศิลป์ ประมาณปี พ.ศ.2519 จึงได้ขุดพบซากพระใต้อุโบสถ และ วัตถุโบราณอื่นๆอีก ตามที่ระบุในใบลานทุกอย่าง รวมทั้งพระกรุวัดท่าเรือ เมื่อพุทธคุณเป็นที่ปรากฏก็ยิ่งเป็นที่สนใจแสวงหากันเพิ่มยิ่งขึ้น สนนราคาก็สูงขึ้นตาม
พระกรุวัดท่าเรือที่ค้นพบส่วนใหญ่ เป็นพระเนื้อดิน มีทั้งเนื้อหยาบ และ ละเอียด มีแร่กรวดทรายผสมอยู่ค่อนข้างมาก ที่เป็นพระเนื้อชินมีเป็นส่วนน้อย ลักษระพุทธศิลปะเป็นแบบอยุธยาตอนต้น มีด้วยกันหลายพิมพ์ทรง อาทิ พิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์ใหญ่ , พิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์เล็ก , พิมพ์วงเขน , พิมพ์ตรีกาย และ พระปิดตา เป็นต้น
แต่ที่นับว่าเป็น “พิมพ์นิยม”ได้รับการยอมรับ และ จัดให้เป็นพระอันดับหนึ่งในพระชุดไตรภาคี คือ “พิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์ใหญ่” หรือ “พระซุ้มชินราช พิมพ์ใหญ่” ลักษณะองค์พระตัดกรอบแบบสี่เหลี่ยม พุทธลักษณะงดงามสง่า องค์พระประธานประทับนั่ง แสดงปางสมาธิบนฐานบัวสองชั้น อยู่ภายในซุ้มเรือนแก้วแบบซุ้มชินราช มีปรกโพธิ์ปกคลุมเหนือซุ้ม บางครั้งจึงเรียกว่า พระซุ้มชินราช