เหล็กไหลเงินยวง ธาตุกายสิทธิ์ หลวงพ่อหวล วัดพุทไธศวรรย์

เหล็กไหลเงินยวง หรือ เหล็กไหลชีปะขาว

เหล็กไหลเงินยวง มักพบเห็นในที่เย็นจัด คือ แถบที่มีหิมะปลกคลุม อย่างเช่นในแถบประเทศเนปาล หรือ ทิเบต  ดังนั้นจึงไม่ค่อยพบในประเทศไทย  คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า เหล็กไหลต้องมีสีดำเท่านั้น  แต่เหล็กไหลชนิดนี้มีสีสันที่แปลกแตกต่างไปจากเหล็กไหลโดยทั่วไป  เพราะมีสีขาวเงินยวงเหมือนปรอท เหมือนโลหะแวววาว  บางชิ้นผิวพรรณดูคล้ายเกล็ดงู  จะเรียกว่า ” นางพญางูขาว หรือ นางพญางูเผือก ” เหล็กไหลประเภทนี้ไม่ค่อยเสพน้ำผึ้ง แต่จะชอบอาบแสงจันทร์  มีอิทธิฤทธิ์ทางด้านมายาภาพ และสามารถปรับอุณหภูมิรอบๆตัวให้เหมาะสมได้ เด่นในทางล่องหนหายตัว เป็นแคล้วคลาด ไม่ต้องเจอกับเหตุเภทภัยอันตรายใดๆ

เหล็กไหลเงินยวง ( เหล็กไหลชีปะขาว )

เหล็กไหลเงินยวงเป็นเหล็กไหลที่นักบวชทางเหนือ และพวกลามะทิเบต นิยมพกติดตัวไว้เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ใช้ในการปกป้องคุ้มครอง และใช้ในการแสดงฤทธิ์ เช่น ใช้ทำน้ำมนต์ หรือ เป็นเครื่องเพิ่มกระแสจิตให้กับตังเอง  แต่หากถึงคราวที่ผู้ครอบครองหมดอายุขัย หรือ ประพฤติตัวไม่เหมาะสม  เหล็กไหลชนิดนี้ก็จะล่องหนหายตัวไป  จึงจัดเป็นเหล็กไหลอีกชนิดที่หาได้ยากมาก  น้อยคนนักที่จะรู้จัก หรือ เคยได้พบเห็น  เหล็กไหลชนิดนี้มีลักษณะคล้ายเหล็กไหลตัดเย็น  มีรูปทรงยาวมนรี ทรงหนำเลี๊ยบ สามารถเก็บมาเฉยๆ ได้โดยไม่ต้องตัด ที่เป็นก้อนฝังอยู่ในใต้ดินก็มีเช่นกัน  ต้องใช้จิตตรวจดูจึงทราบได้  โดยมากเหล็กไหลชนิดนี้มักมีญาณของชีปะขาว หรือ คนธรรพ์รักษาดูแลอยู่  จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ” เหล็กไหลชีปะขาว “

นอกจากนี้ผู้ที่มีวิชาอาคม ด้านการเล่นแร่แปรธาตุ ยังสามารถดักล่อพรายปรอทจากอากาศ  แล้วนำมากลิ้งเป็นรูปทรง จนปรอทนั้นกลายเป็นของแข็ง  ปรอทก็จะกลายเป็น เหล็กไหลเงินยวงได้เช่นเดียวกัน  เหล็กไหลเงินยวงจึงมีอานุภาพสูง สามารถเป็นได้ทั้งสามสถานะ คือ ของแข็ง  ของเหลว  และก๊าซ  อันเป็นคุณสมบัติของแร่ปรอทนั่นเอง  วิชาปรอทเป็นวิชาที่สามารถนำมาใช้ควบคู่กับ วิชาเหล็กไหลได้  ดังนั้นใครที่มีวิชาตัดเหล็กไหลได้  ก็จะสามารถดักล่อปรอทในธรรมชาติได้ด้วยเช่นกัน

พระรอด เนื้อเหล็กไหล หลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรค์

การตัดแร่เหล็กไหลแบบร้อน และ แบบเย็น

– การตัดเย็น 

ในการตัดเหล็กไหล หากเป็นการกระทำพิธีภายในถ้ำที่รังเหล็กไหลรวมตัวกันอยู่ จะใช้วิธีการตัดด้วยเพ่งกสิณไฟ อันเป็นการตัดเหล็กไหลแบบตัดเย็น  ด้วยการใช้ขี้ผึ้งน้ำหนักราวหนึ่งบาทเพียงเล่มเดียว ในการลนแร่เหล็กไหล  แต่ทั้งนี้ผู้ที่ตัดแร่เหล็กไหล จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง หรือ สำเร็จการเพ่งกสิณไฟ  จึงจะสามารถบังคับไฟจากเปลวเทียนให้มีความร้อน จนกระทั่ง แร่เหล็กไหลยอมไหลออกมาจากรังเหล็กไหล แล้วหยดตัวลงในภาชนะที่ใส่น้ำผึ้งป่าแท้เอาไว้ ( ส่วนมากมักจะใช้บาตรใส่น้ำผึ้งพระจันทร์ ). รังเหล็กไหล

การตัดเย็นนี้ หากเป็นรังเหล็กไหลขนาดใหญ่อาจได้เม็ดแร่เหล็กไหลจำนวนมากนับร้อยเม็ด  แต่ถ้าเป็นรังเหล็กไหลขนาดเล็ก ก็จะได้แร่เหล็กไหลในปริมาณน้อยลงมาตามลำดับ  แต่จะมีลักษณะที่เหมือนกันคือ เป็นเม็ดกลมคล้ายกับเม็ดของไข่มุกขนาดเล็ก

แร่เหล็กไหลที่ได้จากการตัดเย็นนี้ ถือเป็นสุดยอดของแร่เหล็กไหล เพราะนอกจากจะได้ แร่เหล็กไหลชั้นดี ประเภทเหล็กไหลน้ำหนึ่ง ที่ไม่ยอมแข็งตัวเองตามธรรมชาติแล้ว ยังผ่านการตัดด้วยวิชาอาคมขั้นสุดยอด คือ การเพ่งเทียนด้วยกสิณไฟ  ผู้ที่ตัดแร่เหล็กไหลจะต้องผ่านการฝึกการเพ่งกสิณไฟ จนกระทั่งสำเร็จกสิณไฟ ( สามารถบังคับเปลวเทียนให้เกิดความร้อนได้ตามความต้องการ )เม็ดแร่เหล็กไหลที่ได้จากการตัดเย็น จึงเป็นแร่เหล็กไหลที่ดีที่สุดในปัจจุบัน

เม็ดแร่เหล็กไหลที่ได้จากการตัดเย็น

– การตัดร้อน

รังเหล็กไหลที่บรรดาแร่เหล็กไหล ไปรวมตัวกันอยู่ ในธรรมชาตินั้นนับวันมีแต่จะหายากมากขึ้นทุกที  จนอาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบันนี้แทบไม่มีใครเคยพบรังเหล็กไหล ในธรรมชาติอีกเลย จะมีก็แต่รังเดิมที่ครูบาอาจารย์ได้นำเอาไปเก็บรักษาไว้  ที่พอจะมีแร่เหล็กไหลน้ำหนึ่งแฝงตัวอยู่ภายในรังเหล็กประเภทนี้ เป็นรังเหล็กไหลที่ได้แยกตัวออกมาจากรังใหญ่ และได้นำรังเหล็กไหลบางส่วนออกมา  ดังนั้นเมื่อรังเหล็กไหลถูกนำออกมาจากถ้ำที่อยู่ตามธรรมชาติแล้ว  การตัดแร่เหล็กไหลจึงต้องใช้วิธี การตัดร้อน  เพราะว่ารังเหล็กไหลได้แยกตัวออกมาจากรังในธรรมชาติ ไม่สามารถใช้วิธี การตัดเย็นได้

เมื่อนำรังเหล็กไหลออกมาจากถ้ำในธรรมชาติแล้ว การที่จะลนแร่เหล็กไหลให้หยดตัวออกมา จึงต้องทำการ ตัดร้อน ด้วยการใช้ไฟที่มีความร้อนสูงมาก เช่น ไฟที่ใช้ในการตัดเหล็ก เป่าไปยังรังเหล็กไหล กำกับด้วยวิชาการตัดเหล็กไหล  หากผู้ตัดไม่มีวิชาการตัดเหล็กไหลควบคุมการใช้ไฟแล้ว  เมื่อนำไฟมาเป่าที่รังเหล็กไหล  นอกจากแร่เหล็กไหลที่แฝงตัวอยู่ภายในจะไม่ไหลออกมาจากรังแล้ว รังเหล็กไหลยังจะระเบิดตัวและแตกกระจายออกมาแทน  จนเป็นเหตุให้หลายคนที่พยายามลน แร่เหล็กไหล ด้วยวิธี การตัดร้อน ได้รับอันตรายจากการใช้ไฟเป่ารังเหล็กไหลอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อใช้ไฟที่มีความร้อนสูง เป่าไปยังรังเหล็กไหล ที่ได้นำออกมาจากถ้ำ แลัวกำกับด้วยคาถาอาคมการตัดเหล็กไหล  รังเหล็กไหลจะไม่ระเบิดตัวออก  และแร่เหล็กไหลที่แฝงตัวอยู่ภายในก็จะเริ่มเคลื่อนตัวออกมาอย่างช้าๆ แร่เหล็กไหลที่เริ่มเคลื่อนตัวออกมานี้จะมีความร้อนสูงมาก  มากจนกระทั่งสามารถเจาะทะลุเหล็กกล้าได้เลยทีเดียว  ดังนั้นในการตัดร้อนจึงต้องหาถาดสแตนเลสอย่างหนามารองรับ แร่เหล็กไหล ที่กำลังหยดตัวออกมาจากรัง จึงจะสามารถทนต่อความร้อนของ แร่เหล็กไหลได้

การตัดเหล็กไหลแบบร้อน

แต่การตัดแร่เหล็กไหลแบบร้อนนี้ เม็ดแร่เหล็กไหลจะมีลักษณะไม่เป็นเม็ดกลม เหมือนการตัดด้วยวิธีการลนด้วยเทียนหรือการตัดเย็น เพราะเมื่อแร่เหล็กไหลหยดตัวลงมากระทบกับถาดสแตนเลส จะมีลักษณะเรียบ เป็นไปตามพื้นผิวของถาดสแตนเลสที่ได้นำมาใช้รองไว้นั่นเอง แร่เหล็กไหลที่ได้จากการตัดร้อน จึงมีลักษณะนูนด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นจะมีลักษณะเรียบแบน ไม่กลมเหมือนกับเม็ดไข่มุก  แร่เหล็กไหลประเภทนี้ก็นับว่าใช้ได้เช่นกัน จะต่างกันตรงที่วิชาในการเรียกแร่เหล็กไหล  ซึ่งการตัดเย็นถือว่าเป็นสุดยอดวิชาเหล็กไหลที่อาศัยพลังจิต และวิชาอาคมของผู้ตัด  เหล็กไหลชนิดนี้จึงเป็นสุดยอดของ เหล็กไหลน้ำหนึ่ง  ส่วนการตัดแบบร้อนนั้น ผู้ตัดไม่จำเป็นต้องสำเร็จกสิณไฟ  เพียงแค่มีพลังจิตบางส่วนและเรียนรู้วิชาการบังคับ เหล็กไหล ในระดับหนึ่งเท่านั้นก็สามารถ ตัดเหล็กไหลแบบร้อนได้แล้ว

โคตรเหล็กไหล

การบูชาและพิธีเรียกเหล็กไหลหลวงปู่หวล วัดพุทไธศวรรย์

พระพุทธเหล็กไหล หรือ เหล็กไหล เจ้าแม่ทองธรรมชาติ หรือ เหล็กไหลตัดสด ของดีที่หลวงปู่หวล เจ้าอาวาสวัดพุทไธสวรรค์ จังหวัดอยุธยา ได้อัญเชิญมาจากถ้ำต่างๆ ในประเทศไทย มาให้ลูกศิษย์ลูกหาได้นำไปบูชาเพื่อเป็นสิริมงคล คุ้มครองป้องกัน ซึ่งก็ต่างมีประสบการณ์กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านแคล้วคลาด คงกระพันหรือแม้แต่เมตตามหานิยมซึ่งสังเกตว่าในปัจจุบัน เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอาจเป็นเพราะส่วนนึงเมื่อประมาณ 8 – 9 ปี ก่อน มีองค์จตุคามรามเทพรุ่นนึงที่นำ เหล็กไหล ของหลวงพ่อหวล มาฝังไว้ที่ด้านหลัง ซึ่งก็ทำให้มีผู้คนรู้จักมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านั้น เหล็กไหลของหลวงปู่ก็เป็นที่นิยมของกลุ่มคนที่ศรัทธาในเรื่องธาตุกายสิทธิ์อยู่แล้ว บ้างก็นำเหล็กไหล ขนาดเม็ดถั่วเขียวมาฝังใต้ท้องแขน (ฝังเอง หลวงพ่อท่านไม่ได้ฝังให้) หรือ บ้างก็นำติดตัว ซึ่งก็มีทั้งแวดวง ราชการ และ บันเทิง อาทิเช่น คุณไพโรจน์ ใจสิงห์ก็มีติดตัว ( ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก/ข่าวสด) ซึ่งเมื่อมีของแท้ และเป็นที่นิยม ก็ย่อมมีของเลียนแบบ เมื่อประมาณปีที่แล้ว

พระรอกเหล็กไหล หลวงพ่อหวล

วิธีดูเบื้องต้น

– พระเหล็กไหล ต้องมันวาว ไม่มีตะเข็บ เพราะหล่อจากหุ่นเทียนแต่ละองค์มีลักษณะคล้าย แต่ไม่เหมือนกันทีเดียว

– แม่เหล็กต้องดูดติด แต่ต้องใช้แม่เหล็กที่กำลังดูดมากกว่าปรกติดูด ถึง 2- 3 เท่า ซึ่งเหล็กไหลสีเงินยวง หรือ สีทองคำที่มีอยู่ดูด เพราะเค้าจะมีกำลังดูดมากกว่า 3 เท่าโดยประมาณ

อิกประการหนื่ง เหล็กไหลมีทั้งประเภทแม่เหล็กดูดติด และ ดูดไม่ติด เนื่องจากมีพวกเนื้อว่านหรือแร่ ที่ไมเป็น่โลหะอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเหล็กไหลยังแบ่งเหล็กไหลน้ำหนึ่ง น้ำสอง น้ำสาม แต่สำหรับเหล็กไหลของหลวงพ่อหวล นั้น แม่เหล็กดูดติดเป็นเหล็กไหลตัดสด


ธาตุกายสิทธิ์

เครื่องรางของขลังไทยสร้างความอัศจรรย์แก่สายตาชาวโลก

เมื่อครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพา กองทัพทหารไทยได้สร้างความอัศจรรย์ให้ปรากฏแก่สายตาของชาวโลกในเรื่องแคล้วคลาดหนังเหนียวและคงกระพันชาตรี จนกระทั่งทหารไทยได้รับขนานนามในสงครามครั้งนั้นว่า “กองพันทหารผีหรือกองพันที่ฆ่าไม่ตาย” ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของทหารไทยที่ไม่เกรงกลัวศาตราวุธใดๆ

บรรดาทหารต่างชาติต่างฉงนกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ทำไมทหารไทยจึงได้มีใจที่เด็ดเดี่ยวและมีความกล้าหาญได้ถึงเพียงนี้ นอกจากทหารไทยจะไม่เกรงกลัวกระสุนปืนแล้ว ทหารไทยยังแคล้วคลาดจากภยันตรายได้ราวปาฏิหาริย์ ทหารไทยนั้นมีอะไรดี? เป็นคำถามที่ชาวโลกต้องรู้ และจากสมรภูมิรบนี้เองทำให้สรรพวิชาและเครื่องรางของขลังของไทยเราได้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของชาวโลกให้ได้รับรู้ถึงความอัศจรรย์ดังกล่าว

 

เหล็กไหล หลวงพ่อหวล วัดพุทไธศวรรย์

เหล็กไหล หลวงพ่อหวล วัดพุทไธศวรรย์

ในบรรดาเครื่องรางของขลังที่ทหารไทยได้นำติดตัวเข้าไปในสมรภูมิรบนั้น แร่เหล็กไหลเป็นของขลังชนิดเดียวที่มีความโดดเด่นและเป็นที่กล่าวขวัญถึงพลังอำนาจอันเร้นลับมากที่สุดในบรรดาเครื่องรางของขลัง ชื่อเสียงของเหล็กไหลนั้นได้โด่งดังไปทั่วโลกภายในเวลาอันรวดเร็ว เป็นผลให้ชาวต่างชาติ ต่างพยายามแสวงหาแร่ธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้เพื่อไว้ใช้ปกป้องคุ้มครองชีวิตของตนเอง

เครื่องรางขลังของไทยนั้นสามารถป้องกันภูตผีปีศาจ กันเขี้ยวงาสัตว์มีผิษต่างๆได้ กันลมพัดลมเพ กันแม้กระทั่งศาตราวุธต่างๆ ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันคนไทยมีความเกี่ยวข้องกับเครื่องรางของขลัง

อานุภาพของธาตุกายสิทธิ์ (พญาเหล็ก/เหล็กไหล)

เหล็กไหล เป็นโลหะธาตุแปลกประหลาดที่มีชีวิตเป็นวิบากของกฎแห่งกรรม บันดาลให้วิญญาณอยู่ในสังสารวัฏ มาปฏิสนธิในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุเหล็กไหล เคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคผึ้งได้ ขับถ่ายได้ (เรียกว่าขี้เหล็กไหล) และสถานที่อยู่อาศัยนั้นชอบสถานที่สงบตามถ้ำ ดังนั้นจึงถือได้ว่าเหล็กไหลเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเทพ เป็นเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลก เหล็กไหลจึงมีทั้งเทพที่เป็นยักษ์ ที่เป็นคนธรรพ์คอยอารักขาอยู่ตลอดเวลา เหล็กไหลที่พบกันจึงมีหลากหลายชนิดที่ได้เห็นกัน เหล็กไหลเป็นธาตุที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจาก “อาวุธปืน” หรือ “ของมีคม” และ “ศาสตราวุธ” ทุกชนิด “เหล็กไหล” เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะ และหาได้ยากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และ เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตผู้ที่มีเหล็กไหลไว้ในความครอบครองหรือพกพาติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจาก “อุบัติภัยร้ายแรง” ต่างๆ รวมไปถึง “อาวุธร้ายแรง” นานาชนิด ได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง

พระรอด เนื้อเหล็กไหล

 

ผู้ที่จะทำพิธีตัดเหล็กไหลได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมชั้นสูง และต้องประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้อย่างมั่นคง ไม่มีจิตคิดละโมบ กล่าวคือ จะต้องขออนุญาตจาก “เทพยดา” ผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอาได้ มิฉะนั้น หากเราขืนตัดเหล็กไหลด้วยกำลัง หมายแย่งชิงเอาโดยพละการ ถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเภทภัยถึงแก่ชีวิต หรือ เกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพยดาผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง

หลวงปู่หวลท่านได้เรียนวิชาอาคม สุดยอดวิชาอาคมที่เกือบจะเรียกว่าสาบสูญไปแล้ว ได้แก่วิชาอาคมเรียกและเชิญเหล็กไหล หรือพญาเหล็กไหลสุดยอดแห่งธาตุกายสิทธิ์ ที่ทุกคนต้องการได้มาครอบครอง วิชาอาคมเรียกหรือเชิญเหล็กไหลนั้นไม่ใช่จะเปิดเผยกันง่ายๆการเรียกหรือเชิญเหล็กไหลก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ใครๆก็ทำได้ เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์ ย่อมเป็นอันตรายต่อผู้ที่จิตไม่บริสุทธิ์ หากทำการเรียกหรืออัญเชิญเหล็กไหลอาจถึงตายได้ ซึ่งหลวงปู่หวล แห่งวัดพุทไธศวรรย์ พระนครศรีอยุธยา ท่านได้เล่าเรียนศึกษาวิชา “การเรียกและตัดเหล็กไหล” จากศิษย์สายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ คือ อาจารย์เสือหลายท่านบอกว่าหลวงพ่อเดิมท่านชอบเล่นแร่แปรธาตุ บางคนตั้งให้หลวงพ่อเดิมท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุเลยทีเดียว

หลวงพ่อหวลนั่งในถ้ำ

เหล็กไหลที่หลวงปู่หวลได้ตัดไว้

มีด้วยกัน 3 วรรณะ ซึ่งแต่ละสีก็แบ่งแยกตามชั้นวรรณะของเหล่าบรรดา “เทพยดา หรือ ฤาษี” ที่ปกปักรักษา ได้แก่

1.วรรณะเจ้าน้ำเงิน

2.วรรณะท้องปลาไหล

3.วรรณะเงินยวง

และรูปแบบของเหล็กไหลที่ท่านตัดไว้มีหลายอย่าง อาทิเช่น แบบพิมพ์พระกริ่ง นิยมสูงสุด และหายากมากที่สุด, พระพุทธ, แคปซูล, แหวน, กำไล, พระขรรค์ ,กรมหลวงชุมพร,หลวงปู่ทวด,รัชกาลที่ 5, พระสมเด็จ,พระนางพญา,พระผงสุพรรณ,พระซุ้มกอ,พระรอด,เจ้าแม่กวนอิม,พระขรรค์,ตรีสูญ,พระบูชา,พระสังกัจจายน์ ฯลฯ เป็นต้น

เหล็กไหล

ซึ่งเหล็กไหลแต่ละพิมพ์นั้น หลวงพ่อหวลจะต้องจัดสร้าง “หุ่นเทียน” ขึ้นมาไว้ก่อน จากนั้นหลวงพ่อท่านจึงนำเข้าไปในถ้ำกลางป่าลึก แล้วเมื่อท่านเจอ “เหล็กไหล” ท่านจึงทำ “พิธีอัญเชิญเหล็กไหล” ให้ “ไหลวิ่ง” ลงมาตามด้ายสายสิญจ์ โดยอัญเชิญให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง เพื่อให้เราสามารถที่จะจับต้องเหล็กไหลเป็นรูปธรรมได้ ตามรูปแบบทรงพิมพ์ของหุ่นเทียนที่หลวงพ่อท่านได้ขออนุญาตจัดสร้างเตรียมขึ้นมา (หุ่นเทียน 1 อัน จะได้เหล็กไหล มาเพียงแค่ 1 ชิ้นเท่านั้น)

ซึ่งพิธีในขั้นตอนนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พิธีหุงเหล็กไหล” โดยเป็นวิธีการหุงแบบตามธรรมชาติ โดยให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง ซึ่งในการทำพิธีแต่ละครั้งต้องใช้ “อำนาจพลังจิต” สูงมาก และเหล็กไหลที่ได้มาแต่ละชิ้นนั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการหุงนานมาก จึงทำให้ในการทำพิธีแต่ละครั้งจะได้เหล็กไหลเพียงไม่กี่ชิ้น (โดยในแต่ละขั้นตอนในการทำพิธีนี้ ต้องเป็นผู้มีวิชาอาคมใน “การเรียกและตัดเหล็กไหล” โดยเฉพาะ) ไม่ได้มาทำกันเล่นๆ หรือ นำเหล็กมาปั๊ม หรือ นำมาหล่อ เหมือนอย่างพระเครื่องทั่วๆไป ซึ่งทำให้ “ของปลอม” ยากที่จะทำออกมาเลียนแบบได้


 

ซึ่งปัจจุบันเหล็กไหลของหลวงปู่หวลนี้หายากมาก เดินตามสนามพระทั่วไปแล้ว ท่านจะไม่ได้พบเห็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะเป็นที่หวงแหนของผู้ที่มีไว้ครอบครองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง “เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ” นี้ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยากมาก เพราะมีระดับสภาวะ ขั้นสูงสุด 31 ภพภูมิ ทั้งยังมีเทพยดา และ ฤาษี ชั้น “มหาเทพ” และ “มหาฤาษี” ลงมาปกปักรักษามากที่สุดและจะพบ “เหล็กไหล 3 สี 3 วรรณะ” นี้ได้ ต้องเป็นถ้ำที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นมาก และอยู่ในกลางป่าลึก บริเวณใจกลางหุบเขา “เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ” มีคุณวิเศษทางด้านเมตตาแรงมากๆ มหาเสน่ห์ขั้นสูง คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เรียกโชคลาภขั้นสูง บันดาลทรัพย์สินเงินทอง ดลจิตดลใจ พลิกดวงชะตา จากตกต่ำให้เป็นสูงขึ้น (จากหน้ามือเป็นหลังมือ) เตือนภัยเมื่อมีเหตุคับขัน และสามารถล่องหนกำบังตัวหลบภัยได้ (ครบวงจร) ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือ จะดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในศีลในธรรม ในความดี มุ่งแต่สร้างบุญสร้างกุศล เพราะเกิดจากฤทธิ์ของมหาเทพและมหาฤาษีในขั้นระดับ “อรูปฌาณ” ที่มีบารมีธรรมสูงมาก ที่เป็นผู้ปกป้องครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้ อยู่นั้นเอง

“เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ” นี้ มักจะตกได้อยู่แต่ในความครอบครองของ “พระภิกษุ” หรือ “นักบวชต่างๆ” (ที่มีฌาณขั้นอุกฤษณ์) คนธรรมดาอย่างเราๆ ยากนักที่จะได้เป็นผู้ครอบครอง เพราะใช่ว่ามีเงินเพียงอย่างเดียวจะหามาไว้ในความครอบครองได้ง่ายๆ จะต้องเป็น “ผู้มีบุญญาธิการบารมี” และต้องมี “กรรมเก่าเกี่ยวกัน” จริงๆ จึงจะได้เป็นผู้ครอบครอง

พระพญาเหล็กไหลนี้ มีคุณ 108 ประการตามแต่อธิษฐาน ท่านบอกว่าใครได้ครอบครองไว้จะมีอำนาจ บารมี เหนือผู้อื่นพกพาติดตัวแคล้วคลาดปลอดภัย กิจการงานเจริญก้าวหน้า เดินทางไปที่ใด มีเทพยดา ปกปักรักษา มีโชคลาภ เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง และพระพญาเหล็กนี้ใช่ว่ามีเงินแล้วจะได้ครอบครอง หลวงปู่หวลท่านบอกว่าต้องมีบุญวาสนาแต่ชาติปางก่อนจึงได้ครอบครอง

“มหาอำนาจ บารมี โชคลาภ วาสนา พุทธคุณ 108 เหนือคำบรรยาย”

วิธีบูชาและการต้อนรับเข้าบ้าน

1.จุดธูป 12 ดอก บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางที่บ้าน

2.ชุดบายศรีหรือถ้าไม่สะดวก ดอกไม้ 1-3 อย่างก็ได้ (ดอกมะลิ)

3.น้ำผึ้งถวาย 1 ถ้วย วางด้านข้างไม่ต้องแช่ องค์พญาเหล็กไหลจะเสพกลิ่น เสพรส

4.บูชาทุกๆวันพระจันทร์เต็มดวง นำออกมาอาบแสงจันทร์เพื่อเพิ่มพลัง แล้วให้เสพน้ำผึ้ง

คาถาเหล็กไหล ของหลวงปู่หวล

(นะโม 3 จบ)

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

หรือ

นะโมฯ (3 จบ) แล้วตามด้วย

พุทธัง อาราธนานัง

ธัมมัง อารธนานัง

สังฆัง อารธนานัง

แล้วก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

พิธีกรรมอัญเชิญพญาเหล็กของหลวงพ่อหวล ภูริภัทฺโท

วัดพุทไธศวรรย์ จ.พระนครศรีอยุธยา

หลวงปู่หวลจะเพ่งกระเเสจิตของท่าน สำรวจดูว่าในถ้ำเเห่งใดมีพญาเหล็กสถิตย์อยู่ เมื่อรู้เห็นในญาณทัศนะชัดเจนเเล้ว ท่านก็จะพาลูกศิษย์ของท่านเดินทางไปสำรวจให้เห็นกับตาอีกครั้ง จากนั้นก็กำหนดฤกษ์ยาม วันเวลาที่จะทำพิธี ท่านว่า ถ้ำที่จะมีพญาเหล็กสถิตย์อยู่นั้น ต้องเป็นถ้ำที่สะอาด ไม่มีค้างคาวมาอาศัย โดยมากจะเป็นถ้ำหินอ่อนที่มีความเย็นสูง หรือ ถึงกับเย็นยะเยือกเมื่อเดินเข้าไปสู่ภายใน เเละเป็นถ้ำที่เเห้งสะอาดนอกจากเครื่องบวงสรวงในการทำพิธีเเล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับพิธีนี้คือ น้ำผึ้งเเท้บริสุทธิ์ ซึ่งจะต้องจัดเตรียมไปจำนวนมากอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้เช่นกันคือ ขี้ผึ้งบริสุทธิ์ ซึ่งจะต้องจัดเตรียมไปจำนวนมากเช่นกันการทำพิธีบวงสรวง ก็เพื่อบอกกล่าวต่อเจ้าถ้ำ เจ้าที่เจ้าทาง เทพเทวาอารักษ์ทั้งหลาย ถึงจุดประสงค์ของการมาทำพิธีว่า จะอัญเชิญพญาเหล็กไปเพื่อประโยชน์เเก่พระพุทธศาสนาประการใดบ้าง

เมื่อทำพิธีบวงสรวงเสร็จเเล้ว หลวงพ่อหวลท่านจะกำหนดจิตอธิษฐานตามวิชาที่ท่านได้ร่ำเรียนมา จากนั้นก็เอาขี้ผึ้งบริสุทธิ์ที่เตรียมมา ป้ายชโลมไปตรงรอยเเตกของผนังถ้ำพร้อมกับบริกรรมคาถากำกับไว้ตลอดเวลาจนเสร็จพิธีหลังจากนั้นหลวงพ่อท่านได้ยืนกำหนดจิตด้วยอาการสงบ สักพักหนึ่งบรรดาศิษย์ที่มาร่วมพิธีต่างได้พบกับเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่ง กล่าวคือ ตรงรอยเเตกของผนังถ้ำนั้นปรากฎมีวัตถุอย่างหนึ่ง ไหลออกมากินน้ำผึ้งที่หลวงพ่อท่านได้ป้ายไว้ หลวงปู่หวลจึงนำด้ายสายสิญจน์ ที่ชโลมไว้ด้วยน้ำผึ้งจนเปียกชุ่มกดปลายด้านหนึ่งลงไปในช่องรอยเเตกนั้น เเล้วโยงสายสิญจน์ที่เหลืออีกด้านหนึ่งลงไปยังบาตรน้ำมนต์ขนาดใหญ่ที่บรรจุน้ำผึ้งเเท้บริสุทธิ์จำนวนมากโดยภายนอกบาตรจะถูกหุ้มไว้ด้วยขี้ผึ้ง เเละมีผ้าขาวลงอักขระยันต์ปิดปากบาตรไว้มีเพียงรูเล็กๆที่จะเอาด้ายสายสิญจน์แหย่ลงไปได้เท่านั้น ท่านบอกว่า บาตรน้ำมนต์ที่ต้องหุ้มไว้ด้วยขี้ผึ้งเเละบรรจุน้ำผึ้งไว้ในบาตรก็เพื่อล่อให้พญาเหล็ก (เหล็กไหล) ลงมากิน ส่วนผ้ายันต์สีขาวนั้น ก็เป็นยันต์กำกับป้องกันไม่ให้พญาเหล็กที่ลงมากินน้ำผึ้งในบาตร หนีกลับเข้าไปในผนังถ้ำได้อีกพอโยงสายสิญจน์ลงสู่บาตรที่มียันต์กำกับไว้เรียบร้อยเเล้ว ท่านก็จุดเทียนซึ่งทำเป็นพิเศษจากขี้ผึ้งเเท้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ลนเปลวเทียนไปที่ผนังถ้ำซึ่งเหล็กไหลโผล่ออกมาให้เห็นพร้อมบริกรรมคาถากำกับไว้ตลอดเวลา ทำให้เหล็กไหลได้ไหลย้อยลงมาตามสายสิญจน์เพื่อกินน้ำผึ้งในบาตร

โดยเหล็กไหลที่ไหลลงมานั้นจะมีอยู่ 3 สีคือ

สีฟ้าน้ำเงิน
สีเงินยวง
สีท้องปลาไหล
เเต่จะเป็นสีใดนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของเหล็กไหลที่มีอยู่ในถ้ำเเห่งนั้น การทำพิธีอัญเชิญพญาเหล็ก (เหล็กไหล) ของหลวงพ่อหวล ท่านจะมุ่งเน้นที่เหล็กไหลสีฟ้าน้ำเงิน เเละสีเงินยวง หลังจากที่เหล็กไหลได้ไหลลงในบาตรจนหมดเเล้ว(ในสภาพที่เป็นของเหลว) หลวงพ่อก็นำไปประกอบพิธีต่อไป คือการทำให้เหล็กไหลที่เหลวนั้นเเข็งตัว โดยการนำบาตรไปตั้งบนเตาไฟเเล้วเอาหุ่นขี้ผึ้งเเท้บริสุทธิ์รูปทรงต่างๆ ที่ต้องการให้เหล็กไหลก่อตัวเป็นรูปทรงนั้นๆ เช่น รูปทรงพระกริ่ง รูปทรงพระสมเด็จ ฯลฯ

โดยหุ่นขี้ผึ้งนี้จะมีจะมีสายชนวนอยู่ด้านบนเเบบเดียวกับเทียนไข สำหรับไว้จุดไฟในขณะทำพิธีหล่อหลอมเหล็กไหลให้เป็นรูปทรงตามต้องการเมื่อหลวงพ่อจุดไฟตรงด้ายชนวนเเล้ว ท่านก็บริกรรมคาถากำกับไปเรื่อยๆในขณะที่หุ่นขี้ผึ้งเริ่มละลายไปทีละเล็กละน้อยเมื่อหุ่นขี้ผึ้งละลายไปจนใกล้จะหมด เหล็กไหลที่มีสภาพเหลวที่อยู่ในบาตร ก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปทรงเหมือนหุ่นขี้ผึ้งต้นเเบบอย่างน่าอัศจรรย์โดยเหล็กไหลที่เเข็งตัวเป็นรูปทรงตามหุ่นขี้ผึ้งต้นเเบบนั้น (รูปทรงพระกริ่ง รูปทรงพระสมเด็จ ฯลฯ) จะมีขนาดเล็กกว่าหุ่นต้นเเบบ มีลักษณะสีสันวรรณะเเปลกประหลาดสีเเวววาวเหลือบมัน

เมื่อเหล็กไหลก่อตัวเสร็จสมบูรณ์เเล้ว หลวงพ่อก็จะนำมาทำพิธีสวดญัตติซึ่งเป็นพิธีกรรมในการป้องกันไม่ให้เหล็กไหลเเปรเปลี่ยนสภาพไปอยู่ในสภาพเดิม หรือ หนีกลับคืนไปยังถ้ำที่นำมาเเต่เดิม หลังจากนั้นท่านจะทำพิธีปลุกเสกอธิษฐานจิตอีกชั้นหนึ่งจากนั้นจึงนำมามอบให้กับลูกศิษย์ผู้มาร่วมทำบุญอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาต่อๆไป

พิธีเรียกเหล็กไหลหลวงพ่อหวล วัดพุทไธศวรรย์

วิชชาเรียกเหล็กไหล ของหลวงพ่อเดิม

อาจารย์เสือ เพชรสังฆาต เป็นศิษย์ฆราวาสของ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์

อาจารย์เสือนี้แหละ คือผู้ถ่ายทอด “วิชชาเรียกเหล็กไหล ของหลวงพ่อเดิม

ให้กับ หลวงปู่หวล วัดพุทไธศวรรย์ จ.อยุธยา

หลวงปู่หวล มีชื่อเสียงมากในเรื่องการเรียกเหล็กไหลท่านพาลูกศิษย์ไปดูพิธีกรรมเรียกเหล็กไหลตามถ้ำต่างๆ นับครั้งไม่ถ้วนมีการบันทึก วีดีโอ / รูปถ่าย ตอนที่ท่านทำพิธีเรียกเหล็กไหล ไว้เป็นหลักฐานด้วยลูกศิษย์ทั้งหลายเห็นกับตาว่า เหล็กไหลเคลื่อนตัวจากผนังถ้ำลงมากินน้ำผึ้งในบาตร ฯลฯ อีกทั้งพิธีกรรมที่ทำให้เหล็กไหลที่อยู่ในสภาพของเหลวและ กลายเป็นพระเครื่องพิมพ์ต่างๆ ก็ยิ่งน่าอัศจรรย์.

นั่นเป็นเพราะ “วิชชาเรียกเหล็กไหล ของหลวงพ่อเดิม” ที่ท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์เสือ “เป็นของจริง”

กล่าวได้ว่า อาจารย์เสือมีหน้าที่ “ส่งมอบวิชา”  เรียกเหล็กไหล ของหลวงพ่อเดิมให้แก่ พระภิกษุผู้ทรงศีล ทรงธรรม ผู้ควรได้รับการสืบทอดวิชชานี้ คือ หลวงปู่หวล .