เครื่องรางของขลังประเภท”เขี้ยวเสือแกะ”
เครื่องรางของขลังประเภท”เขี้ยวเสือแกะ”นั้น เป็นเครื่องรางที่มีมาแต่โบราณ นับได้หลายร้อยปี โดยมีแหล่งกำเนิดมาจากธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ของเขี้ยวหมูป่า ที่ถือได้ว่าเป็นของมีเดช มีความเป็น “ทนสิทธิ์ในตัว” ซึ่งจำเพาะเจาะจงต้องเป็นเขี้ยวหมูตัน เป็นหมูป่าโทนที่แยกออกมาหากินตัวเดียว ส่วนมากหมูป่าโทนนี้ จะมีของดีที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ตามธรรมชาติที่นิยมเรียกกันว่า “เขี้ยวหมูตัน”
เขี้ยวหมูตัน
เขี้ยวหมูตันนี้ มีความคงกระพันอยู่ในตัวเอง เพราะเป็นของทนสิทธิ์ที่คนโบราณ แม้แต่พวกนายพราน ชาวป่า ชาวเขา จะนิยมนำมาเป็นเครื่องรางรักษาตัว หากยิ่งมีการได้ปลุกเสกคาถาอาคม พระเวทย์ จากเกจิอาจารย์ที่มีวิทยาคมแก่กล้าด้วยแล้ว จะยิ่งเพิ่มความเข้มขลังให้กับวัตถุมงคลนั้นเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก
เขี้ยวแกะเสือ จารอักขระยันต์
เขี้ยวเสือกลวง
ซึ่งต่อมาได้มีการนำ “เขี้ยวเสือกลวง” มาสร้างเป็นเครื่องรางของขลัง ด้วยความเชื่อที่ว่า เสือ นั้นได้ถูกยกย่องเป็นเจ้าแห่งป่า มีฤทธิ์มาก สัตว์น้อยใหญ่แม้เพียงได้ยินเสียงเสือคำราม ก็จะเกิดความครั่นคราม เกรงกลัว จนป่าสงบเงียบในเฉียบพลัน ดุจพลังแห่งมหาอำนาจ ที่ครอบคลุมสะกดพงไพร ให่อยู่ภายใต้เสียงคำรามแห่งพญาเสือโคร่ง
ด้วยคุณวิเศษที่กล่าวมาแล้วนี้ คณาจารย์โบราณจึงได้นำเอา “เขี้ยวพญาเสือโคร่ง” ที่มีคุณลักษณะพิเศษตามตำรา มาสร้างเป็นวัตถุมงคล และ เครื่องรางของขลัง ชนิดต่างๆ
โดยปกติแล้วเขี้ยวเสือนั้น มีทั้งเขี้ยวตัน และ เขี้ยวกลวง แต่ที่นิยมนำมาสร้างเครื่องรางของขลังนั้น จะเป็นเขี้ยวเสือกลวง เป็นส่วนมาก ซึ่งต้องมีความกลวงภายในตลอดทั้งอัน เพราะถือว่าเป็นเขี้ยวพญาเสือโคร่ง ผู้เป็นใหญ่กว่าบรรดาเสือทั้งปวง
การลงอักขระเขี้ยวเสือแกะ
ครูบาอาจารย์หลายๆท่านจึงนิยมนำเขี้ยวเสือกลวง มาแกะเป็นรูปเสือ แล้วลงอักขระ หัวใจพระพุทธแห่งพระพุทธคุณกำกับ เพื่อเพิ่มพลังอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ตามคุณวิเศษ ของ แต่ละคณาจารย์อีกชั้นหนึ่ง
เขี้ยวเสือโปร่งฟ้า
เขี้ยวเสือโปร่งฟ้า นับเป็นเครื่องรางที่หายากมาก กล่าวกันว่า ในเสือ 100 ตัว จะมีเสือเพียง 2-3 ตัวเท่านั้นที่มี “เขี้ยวโปร่งฟ้า” คือในตัวเขี้ยวจะกลวงไปจนถึงปลายเขี้ยวเรียกว่า “โปร่งฟ้า” โบราณกล่าวไว้ว่า เสือตัวใดมีเขี้ยวโปร่งฟ้า เสือตัวนั้นจะมีเทพารักษ์คุ้มครอง เมื่อเสือตัวนั้นตายไป จะกลายมาเป็นดวงวิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขา คอยดูแลรักษาป่า ซึ่งจะต่างจากเสือไฟ ที่โบราณกล่าวไว้ว่า เป็นเทวดามาเกิดในร่างเสือคอยดูแลป่าเขา ลำเนาไพร เพื่อเป็นการสั่งสมตบะ เดชะบารมี ให้มากยิ่งขึ้น
คุณวิเศษของเขี้ยวเสือแกะ
หากจะกล่าวเปรียบเทียบคุณวิเศษของเขียวเสือทั้งสองแล้ว เขี้ยวเสือไฟ จะเป็นของร้อน เป็นเมตตามหาเสน่ห์อันล้ำเลีศ ทำให้ผู้ครอบครองมากด้วยเสน่ห์ มีผู้คนนิยมชมชอบ มีอำนาจจิตที่กล้าแกร่ง สามารถสะกดใจคนและสัตว์ได้ ทำให้สัตว์ร้ายหรือสัตว์มีพิษต่างๆ มิอาจทำอันตรายใดๆแก่ผู้ครอบครองได้เลย และ ยังเป็นมหาปราบกำราบภูตผีปีศาจ ผีตายโหง และสิ่งชั่วร้ายได้สิ้น เพิ่มพูนตบะเดชะอำนาจบารมีให้แก่ผู้ครอบครอง ให้ได้เป็นใหญ่เป็นโต มียศถาบรรดาศักดิ์ เพราะเขี้ยวเสือไฟเป็นของร้อน ผู้ครอบครองจึงต้องมีสัจจะวาจา มีเมตตา มีคุณธรรมเป็นอย่างยิ่ง
เขี้ยวแกะเสือ จารอักขระยันต์ เลี่ยมเดิม เครื่องรางทนสิทธิ์ในตัวเอง
ส่วนเขี้ยวเสือโปร่งฟ้า นั้นจะเป็นของเย็น เป็นเมตตามหานิยม ส่งเสริมในทางโชคลาภ หนุนดวง ทำให้ผู้ครอบครองร่ำรวย เป็นมหาเศรษฐีย์มาแล้วก็มากมาย และยังเป็นสุดยอดเครื่องรางมหาอุตม์ คงกระพันชาตรีอันล้ำเลีศ ยากที่จะหาสิ่งใดเทียบเทียมได้ ปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย จากศาสตราวุธทั้งปวงได้ ไม่เว้นแม้แต่คุณไสย มนต์ดำ หรือสัตว์ร้ายต่างๆ ก็มิอาจทำอันตรายใดๆได้เลย
ประสบการณ์ของเขี้ยวเสือแกะนั้น มีให้เล่าขานมากมาย ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน เสือคณาจารย์ผู้มีชื่อเสียง ซึ่งต่อมาภายหลังมีการประยุคนำวัสดุอื่นทำเป็นรูปเสือแล้วลงพระเวทย์วิทยาคมแทน ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ไม่อำนวย และสมควรที่จะทำร้ายชีวิตเสือ เพียงเพื่อนำเขี้ยวและหนังหน้าผาก มาทำเครื่องรางของขลัง ก็ได้ประสิทธิ์ผล มิยิ่งหย่อนไปจากเดิมนัก ด้วยการลงอักขระหัวใจพระพุทธมนต์ ยังคงรักษาสืบทอดกันต่อมา ยิ่งผู้สร้างเป็นคณาจารย์ที่บริสุทธิ์เรื่องพระเวทย์วิทยาคมแล้ว จะส่งผลให้เสือพระเวทย์นี้ คงความศักดิ์สิทธิ์ เสริมโชคลาภ เป็นเมตตา มหานิยม มหาอำนาจ แคล้วคลาด คงกระพัน เป็นมงคลมีคุณวิเศษเหนือธรรมชาติ ที่ยังคงปรากฎมาจนกระทั่งจวบจนทุกวันนี้.