พ่อแก่ฤาษีตาไฟ

ปริศนาแห่งฤาษีในตำนานไทย

ในมิติแห่งความเชื่อและศรัทธาของชนชาติไทย “ฤาษี” หรือ “พระฤาษี” คือบุคคลผู้ทรงคุณวิเศษและภูมิปัญญา เป็นผู้บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าเขาห่างไกลจากโลกทางโลกียะ ในฐานะผู้เป็นครูบาอาจารย์แห่งสรรพวิทยาการทั้งมวล ฤาษีจึงปรากฏอยู่ในวรรณกรรม ตำนาน และความเชื่อพื้นถิ่นอย่างสม่ำเสมอ ในบรรดาฤาษีเหล่านั้น “พระฤาษีพ่อแก่ตาไฟ” และ “พระฤาษีตาวัว” ถือเป็นสององค์ที่โดดเด่นและมีบทบาทสำคัญในเรื่องราวปรัมปราที่สืบทอดกันมา เรื่องราวของทั้งสองไม่ได้เป็นเพียงนิทานสอนใจ หากแต่ยังผูกโยงกับสถานที่จริงทางประวัติศาสตร์อย่าง “เมืองศรีเพชร” ทำให้เกิดคำถามและข้อถกเถียงว่า เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์นี้เป็นเพียงเรื่องเล่าปรัมปรา หรือมีเค้ามูลแห่งความจริงซ่อนอยู่เบื้องหลัง
การทำความเข้าใจเรื่องราวของพระฤาษีทั้งสององค์นี้ จึงจำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์ในเชิงสหวิทยาการ ทั้งด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี คติชนวิทยา และมานุษยวิทยา เพื่อไขปริศนาที่ซับซ้อนและลึกซึ้งนี้
พระฤาษีพ่อแก่ตาไฟ: ปรมาจารย์ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์
1. นามและรูปลักษณ์: สัญลักษณ์แห่งปัญญาและอำนาจ
“พระฤาษีพ่อแก่ตาไฟ” มีนามเรียกขานที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตัว คำว่า “พ่อแก่” แสดงถึงความเคารพนับถือในฐานะปรมาจารย์ผู้เฒ่าผู้แก่ ส่วน “ตาไฟ” เป็นสัญลักษณ์ของดวงตาที่ทรงพลังและเปี่ยมด้วยอิทธิฤทธิ์ เชื่อกันว่าเป็นดวงตาที่สาม (ตรีเนตร) ซึ่งเป็นดวงตาแห่งปัญญาญาณที่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ทะลุปรุโปร่ง และบางตำนานระบุว่าดวงตาที่สามนี้สามารถเปล่งรัศมีหรือไฟออกมาได้ในยามโกรธหรือใช้พลังอำนาจ
รูปเคารพของพระฤาษีพ่อแก่ตาไฟมักปรากฏในลักษณะชายชราไว้หนวดเครายาว นั่งในท่าบำเพ็ญเพียร นุ่งห่มหนังเสือหรือผ้านุ่งแบบฤาษี สวมเศียรฤาษีหรือไม่มีก็ได้ บางครั้งมีดวงตาที่สามอยู่กลางหน้าผากอันเป็นจุดเด่นสำคัญ เครื่องประดับและเครื่องมือที่ใช้ประกอบการบำเพ็ญเพียรมักปรากฏร่วมด้วย เช่น ไม้เท้า หม้อน้ำมนต์ และประคำ
2. บทบาทและสถานะ: ครูแห่งสรรพวิชา
ในความเชื่อของชาวไทย พระฤาษีพ่อแก่ตาไฟถือเป็นครูแห่งศิลปะทุกแขนง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นาฏศิลป์ ดนตรี และโขน ผู้ที่ประกอบอาชีพเหล่านี้จึงมักบูชาพระฤาษีพ่อแก่ตาไฟเป็นเสมือนบรมครูสูงสุด และในพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ไทย มักจะมีการอัญเชิญเศียรครูพ่อแก่มาเป็นประธานในพิธีเสมอ เพื่อแสดงความเคารพและขอพรให้การแสดงเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ
นอกจากนี้ พระฤาษีพ่อแก่ตาไฟยังเป็นครูบาอาจารย์ในด้าน ไสยศาสตร์ เวทมนตร์ และวิชาอาคม อีกด้วย เหล่าจอมขมังเวทและผู้สนใจในศาสตร์ลี้ลับต่างยกย่องนับถือท่านในฐานะผู้รอบรู้และเชี่ยวชาญในวิชาเหล่านี้อย่างถ่องแท้

พ่อแก่ฤาษีตาไฟ
พระฤาษีตาวัว: สหายผู้ซื่อสัตย์และทรงธรรม

1. นามและรูปลักษณ์: ปริศนาแห่งความเชื่อ
“พระฤาษีตาวัว” เป็นอีกหนึ่งฤาษีที่มีชื่อปรากฏเคียงคู่กับพระฤาษีพ่อแก่ตาไฟเสมอ ชื่อ “ตาวัว” นี้เป็นที่มาของความเชื่อและข้อสงสัยหลายประการ บ้างก็ว่าดวงตาของท่านมีลักษณะคล้ายกับดวงตาของวัว บ้างก็ว่าท่านมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับวัวจนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว บ้างก็ว่าชื่อนี้เป็นเพียงการเรียกขานตามนิทานปรัมปราเพื่อสร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์ให้กับฤาษีแต่ละองค์
รูปลักษณ์ของพระฤาษีตาวัวมักไม่ปรากฏชัดเจนเท่าพระฤาษีพ่อแก่ตาไฟ แต่โดยรวมแล้วก็มีลักษณะเป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรเช่นเดียวกัน อาจมีเขาหรือมีลักษณะบางอย่างที่สื่อถึงวัวอยู่ด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อเรียกขาน
2. บทบาทและสถานะ: สหายผู้จงรักภักดี
ในตำนานเล่าขาน บทบาทที่สำคัญที่สุดของพระฤาษีตาวัวคือการเป็น สหายผู้จงรักภักดีและซื่อสัตย์ ต่อพระฤาษีพ่อแก่ตาไฟ แม้จะเป็นฤาษีผู้ทรงศีลและบำเพ็ญเพียรเช่นเดียวกัน แต่ในเรื่องราวการทำลายเมืองศรีเพชรนั้น พระฤาษีตาวัวได้แสดงให้เห็นถึงความผูกพันอันลึกซึ้ง และความเดือดเนื้อร้อนใจเมื่อสหายต้องประสบเคราะห์กรรม การตัดสินใจช่วยเหลือและร่วมมือกับพระฤาษีพ่อแก่ตาไฟในการลงโทษผู้ทรยศ สะท้อนให้เห็นถึงธรรมาภิบาลในความสัมพันธ์ของทั้งสอง และความจำเป็นในการผดุงคุณธรรมเมื่อผู้เป็นธรรมถูกกระทำย่ำยี
ตำนานแห่งการทำลายเมืองศรีเพชร: บทเรียนแห่งความทรยศและกรรมสนอง
ตำนานนี้เริ่มต้นจากศิษย์เอกของพระฤาษีพ่อแก่ตาไฟ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองศรีเพชร เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้ทรงอิทธิฤทธิ์สูงสุดเพียงผู้เดียวในใต้หล้า

พ่อแก่ฤาษีตาไฟ
1. การทรยศของศิษย์เอก
ตำนานเล่าว่า พระฤาษีพ่อแก่ตาไฟได้เข้าถ้ำแห่งหนึ่งเพื่อกระโดดลงไปในบ่อน้ำกรด เพื่อชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะไปชุบชีวิตในบ่อน้ำทิพย์อีกบ่อหนึ่ง ตามความเชื่อของฤาษีในอดีต แต่เจ้าเมืองศรีเพชร ซึ่งเป็นศิษย์ผู้รู้เรื่องนี้ดี เกิดความโลภและอิจฉาในพลังอำนาจของอาจารย์ เขาจึงตัดสินใจไม่ช่วยอาจารย์ขึ้นมาจากบ่อน้ำกรด ปล่อยให้อาจารย์สิ้นชีวิตไปในที่สุด และยิ่งไปกว่านั้น เขากลับไม่นำซากศพของอาจารย์ไปชุบชีวิตในบ่อน้ำทิพย์ตามที่อาจารย์ได้สั่งไว้ ด้วยความเชื่อว่า หากอาจารย์ไม่อยู่แล้ว ตนเองจะเป็นจอมขมังเวทที่เก่งกล้าไร้ผู้เทียมทาน
2. การฟื้นคืนชีพและการลงทัณฑ์
ด้วยความผูกพันและคิดถึงสหาย พระฤาษีตาวัวจึงออกตามหาพระฤาษีพ่อแก่ตาไฟ จนกระทั่งพบกับซากศพของสหายในถ้ำด้วยความบังเอิญ พระฤาษีตาวัวจึงนำซากศพนั้นไปชุบชีวิตในบ่อน้ำทิพย์จนพระฤาษีพ่อแก่ตาไฟฟื้นคืนสติ เมื่อทราบเรื่องราวทั้งหมด พระฤาษีทั้งสองก็บังเกิดโทสะอย่างรุนแรงต่อการกระทำอันทรยศหักหลังของศิษย์ผู้เนรคุณ
เพื่อลงโทษความไม่ซื่อสัตย์และไม่สำนึกในบุญคุณของเจ้าเมืองศรีเพชร พระฤาษีทั้งสองจึงร่วมกันใช้พลังอำนาจสร้าง โรคร้าย ขึ้นมา แล้วเสกใส่เข้าไปในท้องของวัวตัวหนึ่ง จากนั้นจึงปล่อยให้วัวตัวนั้นเดินตรงไปยังเมืองศรีเพชร เมื่อวัวเข้าไปในเมือง ท้องของมันก็แตกออก โรคร้ายที่ถูกเสกไว้ก็แพร่กระจายไปทั่วเมือง ผู้คนล้มตายกันหมดสิ้น เมืองศรีเพชรจึงถึงกาลล่มสลายลงในที่สุด
การตีความจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี
เดิมที เรื่องราวการทำลายเมืองศรีเพชรนี้ถูกมองว่าเป็นเพียงนิทานปรัมปราเท่านั้น แต่การค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญได้เปลี่ยนมุมมองนี้ไปอย่างสิ้นเชิง
1. การค้นพบเมืองศรีเทพ
ในปี พ.ศ. 2442 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงค้นพบเมืองโบราณแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานนามว่า “เมืองศรีเทพ” เมืองโบราณแห่งนี้มีคูน้ำคันดินล้อมรอบและมีโบราณสถานสำคัญมากมาย เช่น ปรางค์ศรีเทพ และปรางค์สองพี่น้อง การค้นพบเมืองศรีเทพ ทำให้เกิดการตั้งข้อสันนิษฐานว่า “เมืองศรีเพชร” ในตำนานอาจหมายถึง “เมืองศรีเทพ” แห่งนี้ก็เป็นได้
2. ความสอดคล้องกับหลักฐาน
หากพิจารณาความสอดคล้องของตำนานกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี จะพบว่าเรื่องราวการล่มสลายของเมืองศรีเทพยังคงเป็นปริศนา นักโบราณคดีไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนว่าเมืองนี้ล่มสลายด้วยสาเหตุใด การสันนิษฐานถึงภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงคราม ยังคงเป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การที่ตำนานกล่าวถึงการล่มสลายของ “เมืองศรีเพชร” ด้วย โรคระบาด นั้น กลับสอดคล้องกับหนึ่งในสมมติฐานทางประวัติศาสตร์ที่ว่า เมืองศรีเทพอาจถูกทิ้งร้างเพราะเกิดโรคระบาดร้ายแรงที่คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมาก ทำให้เมืองต้องร้างไปในที่สุด

พ่อแก่ฤาษี
 จากตำนานสู่ความเป็นจริงที่อาจเป็นไปได้
เรื่องราวของพระฤาษีพ่อแก่ตาไฟและพระฤาษีตาวัว ที่เชื่อมโยงกับตำนานการล่มสลายของเมืองศรีเพชร (ศรีเทพ) นั้น ให้ข้อคิดที่ลึกซึ้งหลายประการ
ประการแรก: ตำนานอาจไม่ใช่แค่เรื่องเล่า การที่เรื่องราวปรัมปราสอดคล้องกับหลักฐานทางโบราณคดีอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่าเรื่องราวเหล่านี้อาจมีเค้ามูลจากเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งถูกถ่ายทอดสืบต่อกันมาในรูปแบบของนิทานหรือตำนานเพื่อความน่าสนใจและง่ายต่อการจดจำ
ประการที่สอง: พระฤาษีอาจมีตัวตนจริง หากพิจารณาในบริบททางประวัติศาสตร์ ฤาษีคือบุคคลที่มีสถานะทางสังคมสูง เป็นผู้ทรงความรู้และมีอำนาจในการชี้นำสังคม การที่ตำนานกล่าวถึงฤาษีผู้ทรงฤทธิ์ อาจเป็นการเปรียบเทียบถึง ผู้นำทางจิตวิญญาณหรือนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีตัวตนจริงในยุคนั้น ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์และปกป้องบ้านเมือง
สุดท้ายนี้ เรื่องราวของพระฤาษีทั้งสององค์ยังสะท้อนให้เห็นถึง ความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” การทรยศต่อครูบาอาจารย์และการมุ่งร้ายต่อผู้อื่น ย่อมนำมาซึ่งความหายนะและภัยพิบัติ ไม่เพียงแต่ต่อตนเอง แต่ยังรวมไปถึงผู้คนรอบข้างและบ้านเมืองทั้งหมด ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับเมืองศรีเพชร
ดังนั้น การศึกษาเรื่องราวของพระฤาษีพ่อแก่ตาไฟและพระฤาษีตาวัว จึงไม่ใช่เพียงการทำความเข้าใจตำนานโบราณ หากแต่เป็นการทำความเข้าใจรากฐานทางวัฒนธรรม ความเชื่อ และคุณธรรมที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของชนชาติไทย ซึ่งยังคงส่งอิทธิพลต่อสังคมจวบจนปัจจุบัน และอาจเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาแห่งอดีตที่ยังคงรอการค้นพบต่อไป

 

 

ปั้นเหน่ง พ่อแก่ฤาษี

ตำนานพระฤาษี – พ่อแก่ฤาษี

พระฤาษี เป็นคำเรียกขานของคนที่บำเพ็ญเพียรด้วยความอุดตสาหะ เป็นความเชื่อของคนว่าต้องการจะหลุดพ้นจากความทุกข์  บ้างก็ต้องการจะสร้างฤทธิ์ สร้างบารมี จึงเกิดมีลัทธิ มีการตั้งตัวเป็นอาจารย์สอนศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติตามหลักการที่วางไว้.

หากท่านจะอ่านเรื่องราวให้ลึกซึ้ง ท่านก็ต้องวางใจเอาไว้ให้นิ่งๆ อย่าลืมคำว่า “ตำนาน” มันคือการเล่าขานต่อๆกันมา แต่เวลามันนานเหลือเกิน นานนับพันๆปี เรื่องราวที่เล่าต่อๆกันมา มันก็อาจแหว่งวิ่นไปบ้างเป็นของธรรมดา  มาถึงยุคเราก็กว่าสองพันห้าร้อยปีเข้าไปแล้ว คนยุคเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปสอบสวนหาข้อเท็จจริงใดๆทั้งสิ้น  มันอยู่ที่ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อมากน้อยแค่ไหน! แต่ถ้าเชื่อก็จงขจัดข้อข้องใจให้หมดไป  ยึดมั่น มันก็ได้ผลเหมือนกัน แต่ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่จำเป็นจะต้องฝืนความรู้สึก เพราะจะมีแต่ความระแวงสงสัย จิตก็ไม่เกิดสุข แทนที่จะเป็นผลดี ตรงกันข้ามอาจเกิดผลร้ายเสียด้วยซ้ำไป.

ปั้นเหน่งพ่อแก่ฤาษี

พลังแห่งศรัทธาก่อเกิดบารมี

จะยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง มีคนเอาผ้า 7 สีไปผูกรอบต้นแล้วบูชาด้วยพวงมาลัย จุดธูปบูชาทุกวัน คนที่ผ่านไปมาเห็นก็คิดว่ามีเทพสถิต ก็จุดธูปบูชาตาม เอาผ้า 7 สีไปผูกแล้วขอโชคลาภ ด้วยจิตที่ยึดมั่น ประจวบกับตัวเองก็กำลังจะมีโชค เกิดได้โชคขึ้นมา ที่นี้ก็เอาหมู เป็ด ไก่ ผลไม้มาบูชา ผู้คนที่ผ่านไปมาเห็นก็สอบถาม พอรู้เรื่องก็เอาอย่างบ้าง จะได้โชคหรือไม่ก็ตามแต่ ต้นไม้นั่นเริ่มศักดิ์สิทธิ์ทันที ที่ศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะอาจมีเทพารักษ์ไปสิงสถิต หรือเป็นเพราะพลังจิตของคนหลายๆคน มุ่งมั่นไปที่จุดเดียวก็เลยเกิดพลังเร้นลับ  คือโดยธรรมชาติแล้วต้นไม้ก็จะมีพลังของตัวมันเองอยู่แล้ว  เมื่อได้รับพลังจิตของคนหลายๆคน ก็ยิ่งเพิ่มพลังมากขึ้น ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ นี่คือความจริงที่กำลังชี้ประเด็นคือ “พลังจิต” นั่นเอง

ปั้นเหน่งพระฤาษี-พ่อแก่ฤาษี

พระฤาษี หรือพ่อแก่

พระฤาษี เป็นคำที่เรียกคนที่มีพลังจิตเด็ดเดี่ยว มุ่งปฏิบัติจนประสบผลสำเร็จในอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายๆอย่าง เช่น สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ มีวาจาสิทธิ์ และอีกมากมาย  บางท่านก็เก่งเรื่องยาสมุนไพร เช่น ปู่ชีวกโกมารภัทร ซึ่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เราก็รวมเรียกท่านอยู่ในกลุ่มของพระฤาษีเช่นกัน และที่สำคัญ พระพุทธเจ้าของเราก็เคยไปศึกษาวิชากับพระฤาษีเหมือนกัน แต่พระองค์ต้องหันเหออกไป เพราะไม่สามารถจะทำให้พระองค์ตรัสรู้ได้  จนกระทั่งพระพุทธเจ้าค้นพบสัจจธรรม ค้นพบความจริงที่มีอยู่ในโลกแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครค้นพบเท่านั้น , พระพุทธเจ้าของเราทรงค้นพบและนำเอาความรู้มาสั่งสอนเหล่ามนุษย์ ที่ยังหลงระเริงอยู่กับความสุขจอมปลอม ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น.

อันที่จริงพระฤาษี ท่านก็พยายามจะค้นหาหนทางที่จะให้มนุษย์ได้พบกับความสุขนิรันดร์ แต่ค้นไปค้นมาก็ได้พบกับอิทธิฤทธิ์ต่างๆ บางท่านสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นร้อยๆปี การบำเพ็ญตบะ เพื่อสร้างบารมีของเหล่าพระฤาษีนั้น จุดมุ่งหมายก็เพื่อจะได้จุติเป็นพระพรหม หรือเทพ ฉะนั้นเรื่องราวของพระฤาษี จึงมีมากมายแตกต่างกัน และกลายเป็นตำนานเล่าขานมาจนทุกวันนี้.

ตำนานพระฤาษี

ตำนานพระฤาษี

ตำนานพระฤาษี