ดวงตาสวรรค์ หลวงพ่อผินะ

ประวัติและสุดยอดวัตถุมงคล “หลวงพ่อผินะ ปิยธโร” พระผู้ทรงอภิญญาเหนือโลก

ในวงการพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง หากจะเอ่ยถึงนามพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาฤทธิ์ มีแนวทางการสร้างวัตถุมงคลอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ชื่อของ หลวงพ่อผินะ ปิยธโร แห่งวัดสนมลาว (หรือวัดเทพอุปถัมภ์ในปัจจุบัน) จังหวัดสระบุรี จะต้องถูกจัดให้อยู่ในลำดับต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยกิตติศัพท์ความขลังและประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่เล่าขานกันไม่รู้จบ ทั้งจากตัวท่านเองในสมัยที่ยังทรงธาตุขันธ์ และจากวัตถุมงคลทุกชิ้นที่ผ่านการอธิษฐานจิตจากท่าน จนกลายเป็นของล้ำค่าที่บรรดาเซียนพระและศิษยานุศิษย์ต่างแสวงหามาไว้ในครอบครองเพื่อเป็นสิริมงคล

การจะเล่าขานประวัติของหลวงพ่อผินะให้ถึงแก่นนั้น ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงปริศนาธรรมที่ท่านฝากไว้ในวัตถุมงคลแต่ละชิ้น เพราะทุกอณูมวลสาร ทุกรูปลักษณ์ที่ท่านรังสรรค์ขึ้น ล้วนแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้งเกินกว่าสามัญชนจะเข้าใจได้โดยง่าย นี่คือเรื่องราวของพระอริยสงฆ์ผู้เดินทางข้ามผ่านมิติแห่งกาลเวลา ผู้ที่คำสอนและบารมียังคงปรากฏเด่นชัด แม้สังขารของท่านจะล่วงลับไปแล้วก็ตาม

หลวงพ่อผินะ วัดสนมลาว เกจิแห่งเมืองสระบุรี

ชาติกำเนิดและปฐมบทแห่งการเดินทางสู่ร่มกาสาวพัสตร์

หลวงพ่อผินะ เดิมมีนามว่า ทวาย หาสิริกิติ์ ท่านถือกำเนิดในวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2456 ณ บ้านหัวลำโพง อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี ในครอบครัวที่มีฐานะมั่นคง คุณพ่อรับราชการทหาร นามว่า “เทศน์” และคุณแม่เป็นแม่ค้าชื่อว่า “ตุ้ย” ท่านเป็นบุตรชายคนหัวปี ในวัยเยาว์นั้น หลวงพ่อผินะมีโรคประจำตัวที่แปลกประหลาด คืออาการชักโดยไม่ทราบสาเหตุ ครอบครัวได้พยายามรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ แต่อาการก็ไม่ทุเลาลง จนกระทั่งโยมมารดาได้ตั้งจิตอธิษฐานบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากลูกชายหายจากอาการประหลาดนี้ จะให้บวชเพื่ออุทิศตนในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าหลังจากนั้นอาการของท่านก็ค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปในที่สุด

เมื่อถึงวัยอันควร ท่านได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ อุปสมบทเมื่อราวปี พ.ศ. 2481 ณ พัทธสีมาวัดหนองเต่า จังหวัดอุทัยธานี โดยมีพระครูอุดมคุณาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอทัพทันในสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทและศึกษาพระธรรมวินัยจนสอบได้นักธรรมชั้นตรีแล้ว ด้วยจิตที่มุ่งมั่นในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ท่านจึงได้กราบลาพระอุปัชฌาย์เพื่อออกเดินทางจาริกธุดงค์ แสวงหาโมกขธรรมและครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณ

การธุดงค์ของหลวงพ่อผินะในยุคแรกนั้น เต็มไปด้วยความยากลำบากและภยันตรายนานัปการ ท่านเดินทางรอนแรมไปตามป่าเขาลำเนาไพร มุ่งหน้าสู่ภาคอีสาน ดินแดนแห่งพระป่ากรรมฐาน ท่านได้มีโอกาสเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ของบูรพาจารย์สายพระป่าองค์สำคัญที่สุดแห่งยุค นั่นคือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต การได้อยู่ภายใต้ร่มบารมีและรับฟังธรรมะโอวาทจากหลวงปู่มั่น ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งในชีวิตสมณเพศของหลวงพ่อผินะ ท่านได้รับการขัดเกลาจิตใจและฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐานอย่างเข้มข้น จนมีภูมิธรรมและพลังจิตที่แก่กล้าขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านยังมีโอกาสได้ศึกษาแลกเปลี่ยนธรรมกับศิษย์เอกของหลวงปู่มั่นอีกหลายรูป อาทิ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นต้น

ดาวแม่เนื้อหอม หลวงพ่อผินะ

ธุดงค์ข้ามแดนและบทพิสูจน์แห่งอภิญญา

หลวงพ่อผินะไม่ได้จำกัดการธุดงค์ของท่านอยู่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น ท่านยังได้จาริกข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งพม่า ลาว และกัมพูชา เพื่อแสวงหาวิชาความรู้และศึกษาธรรมจากครูบาอาจารย์ต่างๆ รวมถึงฝึกฝนจิตในสถานที่อันเป็นสัปปายะและเต็มไปด้วยอาถรรพณ์ลี้ลับ ว่ากันว่าในช่วงเวลานี้เองที่ท่านได้ฝึกฝน กสิณ 10 จนสำเร็จบริบูรณ์ ทำให้ท่านสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นการล่วงรู้วาระจิตของผู้อื่น การย่นระยะทาง หรือแม้กระทั่งการสื่อสารกับดวงวิญญาณและภพภูมิต่างๆ

มีเรื่องเล่าขานในหมู่ลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า ในระหว่างที่ท่านธุดงค์อยู่ในป่าลึก ท่านเคยเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายและอมนุษย์มากมาย แต่ด้วยเมตตาบารมีและพลังจิตอันแก่กล้า ท่านสามารถแผ่เมตตาจนทำให้ภยันตรายเหล่านั้นสงบลงได้ ประสบการณ์เหล่านี้เองที่หล่อหลอมให้หลวงพ่อผินะกลายเป็นพระเกจิผู้มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านวิปัสสนาธุระและในด้านพุทธาคมไสยเวทย์อย่างหาตัวจับยาก

ดาวแม่เนื้อหอม หลวงพ่อผินะ วัดสนมลาว

ปักหลักสร้างวัดสนมลาว ดินแดนแห่งปริศนาธรรม

หลังจากจาริกธุดงค์เป็นเวลายาวนานหลายสิบปี จนกระทั่งประมาณปี พ.ศ. 2527 ท่านได้เดินทางมาถึงบริเวณป่าช้าเก่าแก่แห่งหนึ่งในเขตตำบลโคกแย้ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี สถานที่แห่งนี้เป็นที่รกร้างและขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยนและความน่ากลัวในอดีต แต่ด้วยญาณทัศนะของหลวงพ่อ ท่านกลับมองเห็นว่าที่แห่งนี้เป็นทำเลที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการสร้างวัดและปฏิบัติธรรม ท่านจึงได้ปักกลดและเริ่มพัฒนาสถานที่แห่งนี้จนกลายเป็น “วัดสนมลาว” ซึ่งชื่อนี้ก็มีปริศนาในตัวเอง คำว่า “สนม” หมายถึงที่อยู่ของนางสนม ส่วน “ลาว” ท่านหมายถึงการอำลาจากกิเลสทั้งปวง ดังนั้น วัดสนมลาวจึงมีความหมายโดยนัยว่า เป็นสถานที่สำหรับผู้ที่ต้องการอำลาจากกิเลสตัณหาทั้งปวง

ณ วัดสนมลาวแห่งนี้เองที่ชื่อเสียงและบารมีของหลวงพ่อผินะได้ขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ ท่านได้สร้างถาวรวัตถุต่างๆ ภายในวัดด้วยรูปแบบที่แปลกตาและเต็มไปด้วยปริศนาธรรม เช่น การสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ ในลักษณะที่ดูคล้ายกับเทพของฮินดู หรือการสร้างกุฏิที่มองจากภายนอกคล้ายกับเจดีย์ สิ่งก่อสร้างทุกอย่างล้วนมีนัยยะแฝงเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติให้ผู้คนพิจารณาถึงหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ดวงตาสวรรค์ หลวงพ่อผินะ

สุดยอดวัตถุมงคลอันลือลั่น: ศาสตร์และศิลป์ที่อยู่เหนือกาลเวลา

เอกลักษณ์ที่ทำให้หลวงพ่อผินะแตกต่างจากพระเกจิอาจารย์รูปอื่นอย่างสิ้นเชิง คือแนวทางการสร้างวัตถุมงคลของท่าน ท่านไม่นิยมสร้างพระเครื่องตามแบบแผนทั่วไป แต่จะสร้างเครื่องรางในรูปแบบที่เป็นปริศนาธรรม โดยใช้วัสดุและมวลสารที่เรียกว่า “มวลสารอาถรรพณ์” ซึ่งล้วนแต่มีที่มาที่พิเศษและผ่านการปลุกเสกอย่างพิถีพิถัน วัตถุมงคลของท่านจึงไม่ใช่แค่เครื่องราง แต่เป็นดัง “ของครู” ที่มีจิตวิญญาณและสามารถสื่อสารกับผู้บูชาได้

1. ดาวแม่เนื้อหอม: ดวงดาวแห่งเสน่ห์เมตตาและโภคทรัพย์

นี่คือสุดยอดเครื่องรางอันเป็นดั่งสัญลักษณ์ของหลวงพ่อผินะ “ดาวแม่เนื้อหอม” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ดาว” ถูกสร้างขึ้นตามนิมิตของหลวงพ่อ มีลักษณะเป็นรูปดาวหลายแฉก โดยส่วนใหญ่มักเป็นดาว 5 แฉก และดาว 8 แฉก

  • ดาว 5 แฉก หมายถึงการน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้ (พระกกุสันธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสปะ, พระโคตมะ และพระศรีอริยเมตไตรย)

  • ดาว 8 แฉก หมายถึงพระอรหันต์ 8 ทิศ ผู้คุ้มครองรักษาทิศทั้งแปดให้พ้นจากภยันตราย

มวลสาร ที่ใช้ในการสร้างดาวนั้นถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่ง ประกอบด้วยผงอาถรรพณ์ต่างๆ ที่หลวงพ่อรวบรวมไว้ตลอดการธุดงค์ เช่น ดิน 7 ป่าช้า, ผงว่านมหามงคล 108, ผงเกสรดอกไม้บูชาพระ, และที่สำคัญคือ “ผงพราย” และ “น้ำมันพราย” ที่ท่านเมตตาพลีมาจากร่างของผู้ที่เสียชีวิตด้วยเหตุอันเป็นมงคล (เช่น ตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร) และเจ้าของร่างได้อุทิศให้เพื่อสร้างบุญกุศล การนำมวลสารเหล่านี้มาใช้ ไม่ใช่ด้วยไสยศาสตร์มนต์ดำ แต่เป็นการเมตตาโปรดวิญญาณเหล่านั้นให้มาสถิตอยู่ในวัตถุมงคล เพื่อร่วมสร้างบารมีและช่วยเหลือผู้คน เป็นการเปลี่ยนพลังงานอาถรรพณ์ให้กลายเป็นพุทธคุณอันสูงส่ง

นอกจากนี้ ท่านยังมักจะฝังวัตถุมงคลอื่นๆ ลงไปในดาวด้วย เช่น พลอยเสก, เม็ดมะกล่ำ, หรือแม้กระทั่ง “อัฐิ” ของผู้มีบุญ เพื่อเพิ่มความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ พุทธคุณของดาวแม่เนื้อหอมนั้นโดดเด่นอย่างยิ่งในด้าน มหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม ผู้ใดมีไว้บูชาจะเป็นที่รักใคร่แก่คนทั้งปวง การเจรจาค้าขายจะประสบความสำเร็จโดยง่าย อีกทั้งยังมีพุทธคุณด้าน โชคลาภและโภคทรัพย์ อย่างน่าอัศจรรย์ สามารถอธิษฐานขอในสิ่งที่ปรารถนาได้ (หากไม่เกินกรรม) จนมีคำกล่าวในหมู่ลูกศิษย์ว่า “ขอได้…บอกได้…ใช้ได้จริง”

2. ดวงตาสวรรค์ (แก้วตาดวงใจ): เปิดดวงตาแห่งปัญญาและโชคลาภ

เครื่องรางอีกชิ้นที่โด่งดังไม่แพ้กันคือ “ดวงตาสวรรค์” หรือบางครั้งเรียกว่า “แก้วตาดวงใจ” หรือ “ดวงตาอาถรรพณ์” มีลักษณะเป็นรูปดวงตาคน สร้างจากมวลสารอาถรรพณ์หลากหลายชนิด เช่น ผงพุทธคุณ, ผงปถมัง, ดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์, ข้าวสารหิน, และมวลสารพิเศษของหลวงพ่อ

ปริศนาธรรมของดวงตาสวรรค์ คือการเตือนสติให้ผู้บูชามี “ดวงตาเห็นธรรม” ให้ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต ให้มองเห็นถึงสัจธรรมความจริงของโลก เมื่อมีปัญหาเข้ามาในชีวิต ก็จะสามารถมองเห็นทางออก ไม่มืดแปดด้าน เปรียบเสมือนมีดวงตาสวรรค์คอยชี้แนะแนวทางที่สว่างไสว

พุทธคุณของดวงตาสวรรค์นั้นครอบคลุมในหลายด้าน โดดเด่นในเรื่อง สติปัญญา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนนักศึกษาหรือผู้ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังมีพุทธคุณสูงทางด้าน โชคลาภและการค้าขาย ดึงดูดทรัพย์สินเงินทอง และยังช่วยในเรื่อง การเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง อีกด้วย กล่าวได้ว่าเป็นเครื่องรางที่ช่วยเปิดทางให้ชีวิตประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน

3. ปลัดขิกและเครื่องรางอื่นๆ:

นอกจากดาวและดวงตาแล้ว หลวงพ่อผินะยังได้สร้างเครื่องรางอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น ปลัดขิก ที่มีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนสำนักใด โดยท่านจะเรียกว่า “สเปิร์มสร้างโลก” อันมีความหมายถึงจุดกำเนิดของสรรพชีวิต มิได้มีความหมายในทางลามกอนาจารแต่ประการใด พุทธคุณเน้นไปทางเมตตาค้าขายและป้องกันภัย พระสูตร ซึ่งเป็นพระพิมพ์ที่มีลักษณะเฉพาะตัว และวัตถุมงคลที่ทำจาก “ของอาถรรพณ์ตามธรรมชาติ” เช่น งาช้างกำจัด (งาช้างที่ตกมันและแทงต้นไม้จนหักคาอยู่), เขี้ยวหมูตัน, หรือไม้กลายเป็นหิน เป็นต้น

ดวงตาสวรรค์ หลวงพ่อผินะ

พิธีกรรมอันน่าพิศวงและการละสังขารในท่านั่งสมาธิ

วิธีการปลุกเสกและมอบวัตถุมงคลของหลวงพ่อผินะก็เป็นที่เลื่องลือถึงความแปลกและมหัศจรรย์ ท่านมักจะให้ผู้ที่มาขอของดีนอนลง กำวัตถุมงคลไว้ในมือแล้วภาวนาคาถา จากนั้นท่านจะนำทรายเสกหนึ่งกำมือมาโปรยใส่ดวงตาของผู้ที่นอนอยู่ ปรากฏว่าทรายนั้นแม้จะโปรยในระยะใกล้เพียงใด ก็ไม่เคยเข้าตาใครเลยแม้แต่เม็ดเดียว ราวกับมีเกราะแก้วที่มองไม่เห็นมาป้องกันไว้ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังจิตและพุทธคุณในวัตถุมงคลว่าได้ประจุลงไปอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว

จวบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต หลวงพ่อผินะได้แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้ที่อยู่เหนือโลกอย่างแท้จริง ท่านได้เขียนพินัยกรรมสั่งเสียลูกศิษย์ไว้ล่วงหน้า มีใจความสำคัญว่า “เมื่อท่านละสังขารแล้ว ห้ามฉีดยา ให้เก็บศพไว้ในท่านั่งสมาธิ ให้บรรจุศพไว้ในสุสานผินะ… ห้ามเผาศพโดยเด็ดขาด”

และแล้วในเช้าตรู่วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ท่านก็ได้ละสังขารอย่างสงบในท่านั่งขัดสมาธิ ณ กุฏิของท่าน สิริอายุได้ 89 ปี 64 พรรษา สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ แม้เวลาจะล่วงเลยไปกว่า 12 ชั่วโมง สรีระของท่านยังคงอ่อนนิ่ม ไม่แข็งกระด้างเหมือนคนตายทั่วไป คณะศิษย์จึงได้ปฏิบัติตามพินัยกรรมของท่านทุกประการ โดยได้บรรจุสรีระสังขารของท่านไว้ในโลงแก้วในท่านั่งสมาธิ ประดิษฐานไว้ ณ มหาสถูปเจดีย์ภินะปฏิมากรภายในวัด เพื่อให้สาธุชนได้กราบไหว้บูชาสืบไป

เรื่องราวของหลวงพ่อผินะ ปิยธโร และวัตถุมงคลของท่าน จึงไม่ใช่เป็นเพียงตำนานที่เล่าขานกันอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นบทพิสูจน์แห่งการบำเพ็ญบารมีของพระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณวิเศษ ผู้ซึ่งได้ฝากปริศนาธรรมและมรดกอันล้ำค่าไว้ในแผ่นดินสยาม วัตถุมงคลของท่านจึงเป็นมากกว่าเครื่องราง แต่คือเครื่องเตือนสติ คือพลังใจ และคือสื่อกลางในการเชื่อมต่อกับบารมีของครูบาอาจารย์ผู้เปรียบประดุจ “ขุนพลแห่งสนมลาว” ที่ยังคงคุ้มครองปกปักรักษาลูกศิษย์อยู่เหนือกาลเวลาตราบนานเท่านาน.