ประวัติวัดโฆสิตาราม
ประวัติและการสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท
วัดโฆสิตาราม เดิมชื่อ วัดขวิด เนื่องจากเป็นที่ดอน มีต้นมะขวิดขื้นอยู่แต่เก่าก่อน แต่คนเก่าเรียกวัดนี้ว่า วัดบ้านแค เนื่องจากเป็นชื่อของหมู่บ้าน บ้านแค คำว่า บ้านแคนี้ มาจากคำว่า บ้านของปู่แค ปัจจุบันศาลปู่แคยังมีอยู่ เพิ่งจะมาเปลี่ยนเป็น วัดโฆสิตาราม เมื่อสมัยที่ หลวงพ่อกวย มาเป็นเจ้าอาวาส เข้าใจว่ามีมูลเหตุหรือแรงบันดาลใจมาจาก หลวงพ่อได้สร้างพระพุทธพิมพ์ รูปแบบเหมือนของ สมเด็จพุฒาจารย์ ( โต ) วัดระฆังโฆสิตาราม และหลวงพ่อจะเปลี่ยนชื่อวัดให้เป็น มงคล
วัดตั้งอยู่ หมู่ 9 บ้านบ้านแค ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีเนื้อที่ประมาณ 35 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอสรรคบุรีประมาณ 15 กิโลเมตรไปทางใต้ สร้างมาประมาณ 100 ปีเศษ เดิมเป็นวัดร้าง ตั้งอยู่ในป่ามีกุฏิ 2 หลัง หลังคามุงแฝก หอประชุมปั้นหยาก็มุงแฝกเช่นกัน มีเจ้าอาวาสติดต่อกันมา 8 รูป หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 6 ได้มรณภาพเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ 2522 ทางเจ้าคณะจังหวัด จึงแต่งตั้งให้ พระสำรวย ปั้นสน ฉายา อคฺคปัญโญ เป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 7 เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ 2522 ปัจจุบัน พระสำรวย ปั้นสน ได้ลาสิกขาบทแล้ว เมื่อก่อนเข้าพรรษาปี 2536 และได้แต่งตั้งให้ พระอาจารย์บุญยัง ฐานวโร เป็นเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
วัดนี้ตามประวัติเจ้าอาวาสทั้ง 5 รูป ไม่ปรกฏว่ามีรูปหนึ่งรูปใดที่เรืองอาคม นอกจาก หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เจ้าอาวาสรูปที่ 6 เท่านั้น ในนั้นจึงไม่ปรากฏว่ามีโบราณสถานหรือโบารณวัตถุอื่นใดเลย นอกเสียจาก พระปูนปั้นเป็นรูปพระพุทธเจ้าในวิหาร ชึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่วัด ที่ฐานพระวิหารเขียนไว้ว่าสร้าง พ.ศ 2473 พร้อมชื่อผู้ที่สมทบทุนสร้างพระพุทธเจ้าในวิหารนี้ ถึอว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่วัดเช่นกัน ชอบรับบนด้วยประทัด
ด้านทิศใต้ติดกับอุโบสถ มีสระน้ำเก่าแก่อยู่ 1 สระ เป็นสระน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ น้ำในสระนิยมตักเอาไปทำน้ำมนต์ ดินในสระนิยมตักเอาไปสร้างพระ โดยเชื่อกันว่าดี ที่สระนี้ถ้าเป็นคนท้องที่จะไม่มีใครกล้าล่วงเกินเลย คือหลวงพ่อขุดเอาไว้และลงอาถรรพณ์เอาไว้
ประวัติหลวงพ่อกวย
หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เดิมชื่อ กวย ปั้นสน เกิดวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ 2448 ปีมะเส็ง ณ หมู่บ้านบ้านแค หมู่ 9 ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท เป็นบุตรของนาย ตุ้ย ปั้นสน บ้านเดิมอยู่วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มารดาชื่อ นางต่วน เดชมา เป็นคนบ้านแค ท่านทั้งสองมีบุตรและธิดาด้วยกัน 5 คน
คนที่ 1 นายตุ๊ ปั้นสน
คนที่ 2 นายคาด ปั้นสน
คนที่ 3 นายชื้น ปั้นสน
คนที่ 4 นางนาค ปั้นสน
คนที่ 5 หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร
เด็กชาย กวย ปั้นสน เป็นบุตรคนสุดท้องของบิดามารดา เมื่อโตขื้นบิดามารดาจึงได้นำมาฝากไว้กับ หลวงปู่ขวด วัดบ้านแค เพื่อเรียนหนังสือในสมัยนั้นบ้านเมืองยังเป็นป่าเป็นดง จะหาโรงเรียนเรียนก็ยาก เพราะห่างไกลความเจริญ
หลวงปู่ขวดได้รับไว้เป็นศิษย์ ได้สอนหนังสือ ก.กา สระ ตัวสกด การันต์ แล้วเรียน บวก,ลบ,คูณ,หาร จนคล่อง เด็กชาย กวย ยังได้อ่านหนังสือธรรมบท บทสวดต่างๆของพระ เด็กชาย กวย ก็ท่องได้ทั้งๆที่อายุเพียง 6~7 ขวบ เท่านั้น หลวงปู่ขวดจึงให้เด็กชาย กวย เรียนหนังสือขอม เรียนสูตร , สน นาม อีกมากมายเด็กชาย กวยก็เรียนได้ จำได้ หลวงปู่ขวดได้ทุ่มสติปัญญาในการสอนเด็กชาย กวย จนเต็มกำลัง เพราะรู้ในชะตาของเด็กชาย กวย ว่าในวันข้างหน้าอาจได้บวชในพระศาสนา จะได้เป็นใหญ่เป็นโต ทั้งๆที่หลวงปู่ขวดชราภาพมากแล้ว
ต่อมาหลวงปู่ขวดก็มรณภาพ บิดามารดาจึงได้นำเด็กชาย กวย มาเรียนหนังสือขอมต่อกับ อาจารย์ดำ วัดหัวเด่น ชึ่งใกล้ๆกับวัดบ้านแค เมื่อเรียนหนังสือขอมจนแตกฉานแล้ว บิดามารดาจึงได้พาเด็กชาย กวย มาเรียนวัดพร้าว ต. โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท โดยพักที่ วัดพร้าว โดยเรียนอยู่ชั้น ป.1 ที่วัดพร้าวนี้มีเด็กวัดมากมาย อาหารการกินก็ไม่สะดวก เพื่อนเด็กวัดรุ่นพี่ก็รังแก บิดามารดาจึงได้ย้ายโรงเรียนให้มาเรียนที่โรงเรียนวัดโพธิ์งาม ต. ดอนกำ อ.สรรคบุรี โดยเดินทางไปเรียน เพราะไม่ไกลนัก ได้สอบไล่ชั้น ป.1 และเรียนต่อชั้นป.2 แต่ไม่ได้สอบเพราะเป็นไข้เสียก่อน ในการเรียนทั้งชั้นป.1และป.2 เด็กชาย กวย แทบจะไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมเลย เพราะเด็กชาย กวย ได้เรียนมากับหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำมาแล้ว แถมยังมีความรู้มากกว่าเด็กรุ่นเดียวกันมากนัก ภาษาขอมก็เขียนได้ อ่านได้แตกฉาน เด็กชาย กวย จึงเบื่อที่จะเรียนในโรงเรียนอีก จึงได้ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพทำไร่ไถนา ระหว่างที่นาย กวย ทำไร่ไถนานี้ นาย กวย คิดถึงแต่หลวงปู่ขวด คิดถึงแต่วัด การทำไร่ทำนา หาไป ใช้ไป ไม่มีแก่นสาร หาประโยชน์อะไรไม่ได้
ตอนสมัยท่านหนุ่มๆ ท่านมีคนรักอยู่เหมือนกัน ท่านเคยขื้นหาคนรักของท่านในตอนกลางคืน โดยปีนหน้าต่างเข้าไปหา ท่านไม่ได้พูดไว้ว่าขื้นหาบ่อยหรือไม่ และไม่ได้บอกว่าคนรักของท่านชื่ออะไร คืนวันหนึ่งเดือนหงาย พระจันทร์เต็มดวง ท่านนัดกับคนรักของท่านว่าจะไปหา แต่เมื่อท่านไปแล้ว ปรากฏว่าไม่กล้าเข้าไปหา เพราะแสงจันทร์สะว่างมาก กลัวว่าที่พ่อตาจะเห็น ท่านได้คอยจนกระทั่งเดือนตก คือดึกมากแล้ว ท่านได้ปีนขื้นไปหาคนรักของท่าน ปรากฏว่าคนรักของท่าน คอยท่านจนหลับไป ท่านได้เข้าไปดูคนรักของท่านนอนหลับอยู่ ผมเผ้ายุ่งเหยิง นอนอ้าปากน้ำลายไหล ผ้าผ่อนเปิดคล้ายคนตาย คล้ายชากกศพ หาความงามไม่ได้เลย ท่านได้ถอยหลังออกมา แล้วปีนหน้าต่างกลับ และท่านไม่ได้ไปหาคนรักของท่านอีกเลย และไม่มีคนรักอีก ความตอนนี้คล้ายคลึงกับเรื่องของพระยศะในพุทธกาล แสดงว่า หลวงพ่อไม่ได้ยินดีในกามคุณตั้งแต่ก่อนบวช
เมื่อท่านอายุครบบวช บิดามารดาท่านจึงได้จัดการอุปสมบทให้ แต่ท่านได้พูดกับบิดามารดาว่า ถ้าจะบวชให้ตน ขอให้บวชกันที่วัด ไม่ให้จัดพิธีใหญ่โต ไม่ต้องมีการแห่แหนให้เปลืองเงินเปลืองทอง โดยท่านให้เหตุผลของครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำ พระเทศน์ก็ต้องรู้จักเวลา ผู้ศรัทธาก็ต้องรู้จักกำลัง
บิดามารดาท่านจึงได้พาไปหาอุปัชฌาย์คือ พระชัยนาทมุนี จัดการโกนหัวบวชให้ มี หลวงพ่อปา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์หริ่ง เป็นอนุวจาจารย์ บวชเมื่อวันที่ 5 เดือนกรกฏาคม พ.ศ 2467 เวลา 15 นาฬิกา 17 นาที อายุ 20 ปี ณ วัดโบสถ์ ต. โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีฉายาว่า ชุตินฺธโร แปลว่า โลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก หนักไปด้วยกิเลสตัณหา คือ โลภ โกรธ หลง ทั้งสิ้น ถ้าผู้ใดตัดกิเลส ตัณหาได้ ก็จะถึงชึ่งฝั่งพระนิพพาน
เมื่อบรรพชาอุปสมบทแล้วก็กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านแค ตอนนั้นหลวงปู่มา เป็นเจ้าอาวาสอยู่ พระกวย ชุตินฺธโร จึงหัดเทศน์เวสสันดรชาดกกัณฑ์กุมาร , ทานกัณฑ์ ในแถบนั้ย สมัยนั้น ไม่มีใครสู้ท่านได้เลย ท่านเทศน์แหล่หญิงหม้ายกล่าวถึงพระนางมัทรี และเทศน์แหล่ชายหม้ายกล่าวถึงพระเวสสันดรต้องไปอยู่ป่าหิมพานต์ ถ้าไม่มีพระนางมัทรี ตามเสด็จไปด้วย ก็จะเป็นชายหม้าย ส่วนพระนางมัทรีก็จะเป็นหญิงหม้าย ท่านเทศน์แหล่ถึงการเป็นหญิงหม้ายชายหม้าย มีแต่คนนินทาว่า ร้าย คงจะไม่ดีสามีถึงทิ้ง ครั้นแต่งตัว คนเขาก็ว่าอยากจะมีผัวจนตัวสั่น ครั้นไม่แต่งตัวคนเขาก็ว่ารูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ สามีถึงได้ทิ้ง ส่วนชายหม้ายนั้นก็น่าสงสาร มีแต่คนเขาว่า คงจะไม่ดีเมียถึงได้ทิ้ง คงจะเป็นคนเกเร เป็นนักเลงสุราหรือนักเลงการพนัน จะอยู่จะกินก็อดๆอยากๆ ลูกเต้าหรือก็ขะมุกขะมอม บ้านก็ผุก็พัง เพราะขาดกำลังใจ ท่านแหล่ขนาดหญิงหม้าย ชายหม้าย ไม่อาจนั่งฟังบนศาลา ต้องหลบไปแอบฟังที่ใต้ต้นไม้ บางคนนั่งน้ำตาไหลเป็นทาง บางคนร้องไห้โฮ ชื่อเสียงของท่านเทศน์ทานกัณฑ์นั้นโด่งดังมาก แต่กัณฑ์อื่นๆ หลวงพ่อก็เทศน์ไม่ดีนัก เพราะการเทศน์เวสสันดรชาดกนั้น พระนักเทศน์ก็ต้องตลกคะนอง ปัจจุบันใบลานในการเทศน์ของท่านยังอยู่ที่วัด หลวงพ่อเขียนไว้ว่า พระกวย สร้างถวาย แล้งตอกตรารูปสิงห์ชูคอเอาไว้
อยู่ต่อมาหลวงพ่อได้หยุดเทศน์โดยหลบหรือแอบไปเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณกับ หมอเขียน หมอเขียนคนนี้ สามารถรักษาโรคระบาดหรือโรคห่าได้ ตอนนั้นคนเป็นโรคระบาดที่บ้านโคกช้าง ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก หมออื่นๆก็ตาย เหลือหมอเขียนคนเดียว สามารถรักษาโรคห่า , โรคไข้ทรพิษได้
วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ 2472 พระกวย ได้มาเรียนปริยัติธรรม เพื่อให้เจริญในศาสนา ได้มาอยู่วัดวังขรณ์ 2 พรรษา ต.โพธิ์ชนไก่ อ. บางระจัน จ. สิงห์บุรี ตอนนั้นอาจารย์คำ เป็นเจ้าอาวาส ได้เรียนธรรมตรี สอบ ณ วัดโพธิ์ชนไก่ พรรษาต่อมาได้เรียนธรรมโท แต่พอจะสอบได้เป็นไข้ไม่สบายเลยไม่ได้สอบ จึงมาคิดได้ว่าปริยัติธรรมก็เรียนมาพอสมควร จึงอยากจะเรียนวิปัสสนากัมมักฏฐานและอาคม ตลอดจนวิธีทำเครื่องรางของขลัง
ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อ กวย จึงได้เดินทางไปเรียนวิชากับ หลวงพ่อศรีวิริยะโสภิต แห่งวัดพระปรางค์ จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อศรีรูปนี้ เชี่ยวชาญในวิปัสสนากัมมักฏฐานมาก เก่งที่สุดในจังหวัดสิงห์บุรีขณะนั้นหลวงพ่อได้เรียนวิชาทำแหวนนิ้ว ชึ่งแหวนนิ้วของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ใต้ท้องวงจะตอกตัวขอมอ่านว่า อิติ ของหลวงพ่อก็เช่นกัน นอกจากนี้ยังได้เรียนวิชาอีกหลายอย่าง
ต่อมาได้จำพรรษาอยู่ วัดหนองตาแก้ว ต.โคกช้าง อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี ที่วัดหนองตาแก้วนี้ หลวงพ่อได้ปลุกต้นสมอไว้ 1 ต้น ปัจจุบันยังอยู่ หลวงตาสมาน เคยไปอยู่วัดหนองตาแก้ว ได้นำไก่แจ้เอาไปนอนบนต้นสมอ ปรากฏว่าไก่ไม่ยอมนอน ไม่ทราบว่า หลวงพ่อได้ลงวิชาอะไรไว้ ทั้งๆที่หลวงพ่อเพิ่งอายุ 28 ปี พรรษาได้ 8 พรรษา แสดงว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีอาคมตั้วแต่เป็นพระหนุ่ม ได้จำพรรษาที่วัดหนองตาแก้ว 1 พรรษา
ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ 2477 ได้มาจำพรรษาที่วัดหนองแขม ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาทอีก 1 พรรษา ได้เรียนวิชาแพทย์แผนโบราณต่อกับ หมอใย บ้านบางน้ำพระ
ในขณะที่พักจำพรรษาที่วัดหนองแขม ได้มีเพื่อนภิกษุชื่อ แจ่ม ได้เดินทางท่องเที่ยวไปพบตำราเป็นสมุดข่อยอยู่ในโพรงไม้ แต่เอามาไม่ได้ เพราะตำรานั้นมีอาถรรพณ์แรงมาก คล้ายมีเทวดารักษา จึงได้มาชักชวนพระกวย ให้ไปดู ปรากฏว่ามีตำราอยู่ในโพรงไม้จริง มีรอยคนเอาพวงมาลัยดอกไม้ ธูปเทียนมาบูชาใต้โคนต้นไม้ พระภิกษุกวยจึงได้จุดธูปบอกเล่าและอธิฐานว่า ถ้าจะให้ข้าพเจ้าเอาตำรานี้ไปเก็บรักษาไว้ขอธูปที่จุดนี้ให้ไหม้ให้หมดดอก แต่ปรากฏว่าธูปได้ไหม้ไม่หมด พระภิกษุกวยจึงได้เสี่ยงสัตย์อธิฐานขื้นใหม่ว่า ถ้าหากว่าท่านจะให้ตำรานี้ให้ข้าพเจ้าเอาไปเก็บรักษาไว้ ข้าพเจ้าจะนำเอาตำรานี้ไปทำประโยชน์แก่วัดและช่วยเหลือประชาชนเท่านั้น แล้วก็จุดธูปขื้นเป็นครั้งสุดท้าย ปรากฏว่าธูปได้ไหม้หมดทั้ง 3 ดอก หลวงพ่อจึงได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของตำรา แล้วอัญเชิญเอาตำรานั้นมาเก็บไว้
มีคำร่ำลือกันว่า มีคนๆหนึ่งได้นำตำราชุดนี้มาเก็บไว้ในบ้าน ได้เกิดเหตุวิบัติเจ็บไข้ล้มตาย จึงเอาตำราชุดนี้มาทิ้งไว้ดังกล่าว พระภิกษุกวยเมื่อได้ข่าวดังนั้น ก็มาเปิดตำราดู ปรากฏว่ามีลายลักษณ์อักษรบอกในตำราว่า ตำรานี้ห้ามเอาไปไว้ในบ้านใครๆทั้งสิ้น มิฉะนั้นจะฉิบหาย พระภิกษุกวยจึงได้ศึกษาตำรายันต์ และคาถาจากตำราเล่มนี้ ปัจจุบันตำราเล่มนี้ยังอยู่ที่วัด หน้าปกเขียนว่า ครูแรง ด้วยสีแดง ในตำรามีพระมนต์และยันต์ต่างๆ มากมายหลายร้อยยันต์ เป็นยันต์กันอาวุธ , กันกระทำ , กันคุณ , กันของ คาถาก็มีมากมายหลายบท เป็นภาษาของคนโบราณ แต่มีบทหนึ่งเขียนไว้ว่า พระมนต์พระพุทธเจ้าชนะมาร ใช้เรียกนางแม่ธรณี ใชทำน้ำมนต์ ฆราวาสห้ามเรียน ในพระมนต์นี้ได้เขียนถึงการใช้มนต์ในทางที่ดี และใช้ไปในทางที่ร้าย คือมนต์ ดำ
เรื่องตำรายันต์ที่หลวงพ่อคัดลอกและมาเรียนนี้ ปัจจุบันอยู่ที่ อาจารย์เหวียน มณีนัย คนทำทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี 1 เล่มเก็บรักษาอยู่ที่วัดท่าทอง แขวนไว้ในกุฏิ ไม่มีใครกล้ายุ่ง อยู่ที่อาจารย์ตั้ว 1 เล่ม อยู่ที่อาจารย์แสวง วัดหนองอิดุก อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท 1 เล่ม ส่วนที่วัดมีหลายเล่ม
เมื่อหลวงพ่อออกจากวัดหนองแขมแล้วได้มาเรียนวิชากับ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ แต่ไม่ได้พักที่วัดหนองโพ แต่พักที่วัดบางตาหงาย อ.บรรพตพิสัย เฉพาะที่พักจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย ท่านอยู่ถึง 7 พรรษา สมัยพระครูพิมพ์ ยังเป็นเด็ก ได้เป็นเด็กวัดหิ้วปิ่นโตให้ เมื่อหลวงพ่อกลับมาแล้วยังเดินทางไปเรียนวิชาเพิ่มเติมอยู่เสมอ สมัยนั้นเดินด้วยเท้า เคยเดินไปกับ ลุงลอน ยังมีหลักฐานรูปถ่ายทั้งที่วัดและที่ ลุงลอน
หลวงพ่อได้เรียนวิชาทำมีดหมอ , ตะกรุด และแหวนแขน เรื่องแหวนแขนนี้ หลวงพ่อเดิมทำเป็นและเก่งด้วยกับหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว นั้นชอบพอกัน ยังเคยพบรูปถ่ายหลวงพ่อกันที่กุฏิหลวงพ่อ ศิษย์ร่วมอาจารย์ที่โด่งดัง คือ หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย
ครูบาอาจารย์รูปอื่นๆนอกจากหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ แล้วยังมีอาจารย์รูปอื่นๆอีกหลายรูป แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าหลวงพ่อเรียนมาเมื่อไร ตอนไหน แต่ในตำราคาถาของหลวงพ่อได้เขียนเอาไว้ชัดแจ้ง คือ หลวงพ่อแบน วัดเดิมบาง หลวงพ่อได้เขียนผ้ายันต์และผ้าขอดแบบเดียวกันและได้เขียนชื่อเจ้าของตำราเอาไว้ , หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา อ.เดิมบาง หลวงพ่อได้นำพระถอดพิมพ์แบบของหลวงพ่ออิ่ม ทำผ้ายันต์แบบเดียวกันและเขียนชื่อคาถา และชื่อหลวงพ่ออิ่มเอาไว้ , หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน นครสวรรค์ หลวงพ่อเขียนคาถาเอาไว้และเขียนชื่อเจ้าของเอาไว้ คือ หลวงพ่อพวง , หลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี จ.อุทัย หลวงพ่อเล่าให้ หมอเฉลียว เดชมา เอาไว้ว่า เคยมาเรียนแพทย์แผนโบราณ และต่อกระดูก , ครูฟุ้ง , ครูจำปี เป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยา ถ่ายทอดวิชาสะเดาะกุมารในท้องให้หลวงพ่อและวิชาถอนคุณถอนของ พอกแป้ง ให้หลวงพ่อ , ครูลุน , ครูเพ็ง , อาจารย์แหล่ม วัดท่าช้าง เป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ อยุธยา ถ่ายทอดวิชาอาบว่านยา ,วิชาหินเบา ,วิชาสัก โดยเฉพาะวิชาสักและอาบว่านยานี้ ทำให้หลวงพ่อโด่งดัง เป็นที่ยอมรับของศิษย์ มีหลายคนที่สักยันต์จากหลวงพ่อไป ยิงไม่ออก
นอกจากนั้นหลวงพ่อยังสืบทอดคาถา และยันต์ของหลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาว วัดนี้อยู่ใกล้วัดหลวงพ่อ ยันต์และคาถานี้ตรงกับของ หลวงปู่ศุข ได้ศึกษาตำราเล่มเดียวกับหลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาว หลวงพ่อเฒ่ามีพรรษาแก่กว่า (ใน อ.สรรคบุรี หลวงพ่อเฒ่าดังมาก ดังกว่าหลวงพ่อปากคลอง และดังกว่าหลวงพ่อ )
หลวงพ่อยังได้ตำราเสกผ้าอาบเป็นกระต่าย ,ยังได้วิชาจรเข้ และเสือสมิง สามารถทำได้ ปัจจุบันมีศิษย์ที่ทำได้จริง 1 คนและรู้คาถานี้ ปลุกได้เพียงแต่แปลงร่างไม่ได้อีก 1 คน
การสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล
หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบทำวัตถุมงคลเอง เช่น ทำพระเนื้อดิน ทำพระเนื้อผง ท่านมีความตั้งใจทำสูงมาก แม่พิมพ์พระสมเด็จ เป็นแม่พิมพ์ที่ใช้มือบีบ ทำทีละ 1 องค์ ส่วนแม่พิมพ์พระเนื้อดินใช้แม่พิมพ์ดิน โดยมากใช้วิธีถอดพิมพ์จากของเก่า เคยมีศิษย์ได้พระกรุองค์ต้นแบบที่ใช้ถอดพิมพ์ เช่น พิมพ์สรรค์ ส่วนแม่พิมพ์ชนิดดิน เมื่อพิมพ์ไม่ชัดเจน ท่านจะเก็บรวมๆไว้กับพระองค์ที่ชัดเจน ถ้าเป็นแม่พิมพ์พระสมเด็จ ท่านจะโยนลงสระน้ำ
แม่พิมพ์ สมเด็จปรกโพธิ์ 9 ใบ ด้านหน้าท่านตัดใจทิ้งไม่ได้ ได้ให้ อาจารย์ตั้ว เก็บรักษาไว้ ปัจจุบันอาจารย์ตั้ว ก็ทำพระออกจำหน่าย พิมพ์ปรกโพธิ์ 9 ใบ แต่เปลี่ยนยันต์ข้างหลัง คือ แกะพิมพ์ใหม่ ส่วนแม่พิมพ์เนื้อดินที่ไม่สวย มีหลายพิมพ์ หมอเฉลียว เดชมา เก็บรักษาไว้
ตะกรุด ท่านจะจารเอง ม้วนเอง ทำสายเอง ทุกดอก บางดอกท่านจะถักหุ้มเอง ส่วนมีดยุคแรก ท่านตีเองกับพ่อแม่อุ้ยกับลูกเขย คือ ลุงคลี่ ยิ้มจันทร์ คนบ้านคู ยุคต่อมาเป็นช่างพยุหะ คือพ่อแก่อุ้ยตาย มีดนี้ท่านใส่ตัวด้ามเองทุกด้าม
แหวนแขน : ท่านลงรักทำเองทุกวง ปลัดยุคแรกเป็นไม้ ท่านเหลาจารเอง ยุคต่อมาเป็นตะกั่วนมผสมเงิน ท่านสั่งทำบ้าง หล่อเองบ้าง จารบ้าง ไม่จารบ้าง
วัตถุมงคล เช่น เหรียญรุ่น 1 , 2 รูปหล่อบูชารุ่น 1 , 2 รูปหล่อเล็กรุ่น 1 , 2 ท่านดำเนินการเองทุกอย่าง ติดต่อช่าง สั่งทำ ออกแบบ คือ ศิษย์เขาชอบโล่ฝรั่ง ส่วนรูปหล่อรุ่น 2 ชนิดเล็ก ศิษย์ก็ดำเนินการเอง เขาชอบรูปหล่อฉีด เขาว่าสวยดี
ส่วนผสมของพระเนื้อดินจะผสมแร่วิเศษ และผงวิเศษของท่าน แต่พระเนื้อผงก็ผสมแร่วิเศษ และผงวิเศษเช่นกัน บางพิมพ์มีเกศาของท่าน , ของครูบาอาจารย์ท่าน พระพิมพ์ปรกโพธิ์ 9 ใบ มีเกศาผู้มีบุญมากผสมอยู่
ส่วนแร่วิเศษนั้น ท่านมาเอาที่ดอนเจดีย์ 1 แห่ง ที่เขาสารพัดดี อ.หันคา จ.ชัยนาท 1 แห่ง ดินใจกลางเมืองสุโขทัย 1 แห่ง แต่ให้ศิษย์เป็นคนลงไปงมให้ได้ที่เมืองเก่าสุโขทัย แร่ที่เมืองแม่เมาะ จ. ลำปาง 1 แห่ง ขณะเหมืองปิดแล้ว ท่านได้ไปพูดกับคนเฝ้าประตูเขาให้เข้าไป
ปัจจุบันแร่นี้ยังมีอยู่ในตู้พิพิธภัณ์ฑ 2 ครั้งหลังท่านมากับ หมอเฉลียว เดชมา ส่วนผงวิเศษนั้นท่านทำเองโดยใช้ดินสอพอง ผสมกับเครื่องยาที่ปลูก และปลุกเสกเอง รดน้ำด้วยอาคม แต่บางอย่างก็หาเอามา เครื่องยาที่ใช้ทำผงดินสอสำหรับทำผงปถมังมีดอกเสน่ห์จันทร์ทั้ง 5 , ฝักราชพฤกษ์ เมล็ดมะกล่ำขาว ท่านปลูกเอง , ดีทั้ง 5 มี ดีงู ดีไก่ ดีเต่า ฯลฯดีนี้ท่านปลุกเสกเอาไว้ ถ้าบ้านไหนเกิดอาเพศหนักๆ ท่านจะให้เอาไปแขวนไว้ในบ้าน จะแก้ได้ ไม้คันทรง ท่านเอามาตีระฆังก่อนแล้วค่อยป่นผสมทำผงดินสอผสมกับเครื่องยาอีกหลายอย่าง ผสมกับดินสอพองชื้อจากสาวพรหมจารี หลวงพ่อทำผงปถมัง , ผงมหาราช , ผงอิทธเจ , ผงนะ 108 ท่านทำเองเป็นหมด
นอกจากผงของท่าน ยังมีผงของครูบาอาจารย์ของท่าน ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่ชายหมอเฉลียว เดชมา มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ได้พักที่วัดระฆังโฆสิตาราม ได้พบผงของสมเด็จโต ประมาณ 1 บาตร พระสมเด็จเกือบ 10 องค์ ได้นำผงมาถวายหลวงพ่อพร้อมพระสมเด็จ 2 องค์ หลวงพ่อได้นำผงของสมเด็จโตผสมกับผงของท่านทำพระสมเด็จ เวลาผสมทำท่านชุมนุมเทวดาเชิญพระอรหันต์ด้วยชินบัญชร ปรากฏว่า คนมากันเต็มหมด พระก็จะทำ คนก็จะมา ยุ่งไปหมด
ท่านได้พูดว่า ผงสมเด็จโตนี้ก็สำคัญเหมือนกัน ผสมทำพระไม่ได้เลย คนคอยจะมา แต่กูชิชักจะลำคาญแล้ว ไม่เป็นทำอะไรได้เลย เมื่อท่านเผลอ หนูก็คอยจะมากินผงท่าน แม้พระท่านหนูก็แทะกิน ค้างคาวก็มารุมกิน แม้เป็นสมเด็จแล้วมันก็แทะ สรุปคือ พระของท่าน กันหนูและค้างคาวไม่ได้ เมื่อหนูกินผงของท่าน เด็กวัดเคยเอาเหล็กหมาด ( เหล็กแหลม ) แทงติดพื้นกระดานเลย แต่แทงไม่เข้า นายทีเป็นคนแทง
การปลุกเสกพระผง ท่านจะปลุกเสกด้วยคาถาหลัก คือ ปริตมนต์ ปริตนี้เป็นมนต์ของพระพุทธเจ้าโดยตรง แก้โรคระบาดได้ แคล้วคลาดปลอดภัย กันผีปีศาจได้ แก้อาเพศอาถรรพณ์ได้ นอกนั้นก็ปลุกด้วยมนต์จินดามณี และอื่นๆ เช่น มนต์แม่ธรณี
มีพระพิมพ์หนึ่ง คือ สมเด็จหลังรูปท่าน ทั้ง 2 รุ่น ท่านได้ผสมผงผีไว้ด้วย พระ 2 รุ่นนี้กำบังดี แต่บางครั้งอาจกวนเด็กได้
พระเนื้อดิน ท่านผสมทรายเสกทุกรุ่น ทรายนี้ท่านปลุกเสกเอาไว้ กันผี กันวิญญาณได้ แคล้วคลาด พรางตา เป็นกำแพงแก้วได้
มีดหมอ ท่านบรรจุด้ามด้วยผ้าแดงของอาฬวกยักษ์ แร่อุกาบาต แผ่นยันต์ เกศา ก้นบุหรี่ ผง ฯลฯ ท่านปลุกเสกด้วยอาวุธ 5 อย่าง มงกุฏพระพุทธเจ้าฯ
แหวนแขน ท่านลงด้วยอิติปิโส 8 ทิศ ลงคาถาฆะเสติปลุกเสก สามารถรัดเตือนภัยได้
ตะกรุด ท่านลงไว้หลายยันต์ ผ้าประเจียดก็เช่นกัน ท่านเคยพูดว่า ปลุกด้วยโองการมหาทหมื่น
เหรียญ และรูปหล่อ ปลุกเสกด้วยพระพุทธเจ้า นะโม ตาบอด และอื่นๆ
พระเครื่องก็ดี วัตถุมงคลก็ดี ท่านปลุกเสกเองทั้งหมด ไม่เคยทำพิธีแบบนิมนต์หลวงพ่อ-หลวงปู่รูปอื่นมาร่วมปลุกเสก มีมนต์บทหนึ่ง ท่านต้องปลุกเสกลงไปทุกครั้ง คือ มนต์พระกาฬ มนต์นี้ใครทำไม่ดี คิดไม่ดีต่อผู้มีวัตถุมงคลของท่าน จะแพ้ภัยตัวเอง ท่านจะสั่งศิษย์ใกล้ชิดของท่านเสมอ ว่าอย่าเอาวัตถุมงคลของท่านไปทดลอง เดี๋ยวจะเข้าตัว เพราะท่านลงมนต์พระกาฬเอาไว้ ท่านสั่งไว้อย่างหนัก เอาเป็นว่าใครเรียนมนต์นี้ จะพูดสิ่งไม่ดีไม่ได้เลย จะถึงกับวิบัติพลัดพราก ฉิบหาย ตายโหงทันตา
อีกอย่างหนึ่ง เวลาท่านปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านพูดว่า ถ้าปลุกไม่ขื้น ท่านจะเรียกวิญญาณผีตายโหงเข้าช่วย ท่านพูดกับ อาจารย์ศรีนวล สำนักสงฆ์ทับนา อ.หันคา จ.ชัยนาท
คาถาเรียกจิตผีตายโหงขื้นด้วย จิเจรุนิ จิตตัง เจตะสิกังฯ คล้ายเรียก รัก-ยม
วิธีการปลุกเสกวัตถุมงคลของท่าน ท่านจะปลุกเสกตามฤกษ์มงคลก่อน แล้วจึงปลุกด้วยฤกษ์โจร ฤกษ์บุญพญามาร คือ พระท่านนั้น คนดีก็ใช้ โจรก็ใช้
ท่านมีวิธีการปลุกเสกที่ลึกชึ้งมาก ท่านจะปลุกตอนเช้า สาย บ่าย เย็น หัวค่ำ เที่ยงคืน ค่อนสว่าง ท่านจะปลุกทุกวัน เพื่อป้องกันคนชะตาขาดใช้ คือ จันทร์ถึงอาทิตย์ วันไหนวันอ่อนยิ่งต้องปลุกเสกให้มาก วิธีทำของ หรือ ปลุกเสกของเช้า สาย บ่าย เย็น กลางคืน กลางดึกนี้ตรงกับไสยดำทุกอย่าง คือ ท่านกันเอาไว้ เพราะไสยดำเขาจะทำตอน 7 เวลานี้คนจิตอ่อน หรือ คนธรรมดาจะกันไม่ได้เลย
คำพูดของท่านเกี่ยวกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดถึงสมเด็จหลังรูป ท่านพูดว่า หลังรูป เก่งดี ท่านพูดว่า ปรกโพธิ์ ร่มเย็น อยู่ที่ไหน ไม่มีใครรังเกียจ ท่านพูดว่า มีดหมอ ถ้าบาดมือให้เอาด้ามฝนทำน้ำมนต์ทา จะหาย สำหรับการสร้าง และปลุกเสกวัตถุมงคลของท่าน เล่าได้ย่อๆเพียงเท่านี้
ส่วนข้อห้ามในวัตถุมงคลของท่าน คือ ห้ามด่าแม่ ห้ามเด็ดขาด
สมณศักดิ์
1 กันยายน 2491 รับตำแหนงเจ้าอาวาสวัดบ้านแค ( ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วัดโฆสิตาราม )
1 มีนาคม 2497 เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ( คู่สวด )
5 ธันวาคม 2511 ได้รับพระราชทานพระสมณศักดิ์ เป็นพระครูชั้นประทวน
ในสมัยหลวงพ่อปกครองวัด ท่านชอบความเป็นอยู่แบบสมถะ สมัยนั้นจึงไม่มีการก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัดหน้าที่ดูแล ก่อสร้างและช่อมแชมวัดหลวงพ่อจะให้คณะกรรมการวัดเป็นผู้จัดการดูแล
ในด้านปฏิปทาของหลวงพ่อ ท่านจะเป็นคนพูดน้อย ประเภทถามคำตอบคำ ชอบเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะสุนัข นอกจากนี้ท่านยัง ชอบปลูกต้นไม้ ในบริเวณวัด บรรดาศิษย์ทุกคนรักและเคารพท่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านเองเป็นผู้มีเมตตา ไม่ว่ายากดีมีจน นอกจากนี้ท่านยังถือธุดงควัตรฉันเอกา คือ ฉันมื้อเดียว
ในปี พ .ศ 2521 หลวงพ่อได้อาพาธลง จึงได้เข้าทำการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท ชึ่งหมอได้วินิจฉัยโรคว่า ท่านเป็นโรคขาดอาหารมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว จึงได้ให้สารอาหารประเภทโปรตีนกับหลวงพ่อเป็นเวลา 1 เดือน
เมื่อกลับวัด หลวงพ่อก็ยังได้ฉันอาหารวันละ 1 ครั้งเช่นเดิม โดยไม่เปลี่ยนความตั้งใจ หลวงพ่อยังคงคร่ำเคร่งในการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล ดูเหมือนจะหนักกว่าเก่า สุขภาพหลวงพ่อภายนอกก็ดูแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน
ในเดือนมีนาคม พ .ศ 2522 หลวงพ่อได้วงปฏิทินวันที่ท่านเริ่มเจ็บเอาไว้ด้วยสีน้ำเงิน และวงปฏิทินวันที่ท่านมรณภาพเอาไว้ด้วย ตัวหนังสือสีแดง คือ วันที่ 11 มีนาคม และ 11 เมษายน 2522 พร้อมไดเขียนพระคาถา นะโมตาบอด ให้ไว้เป็นคาถา แคล้วคลาดและกำบัง หลวงพ่อเขียนว่า อาตมาภาพกวย นะตันโต นะโมตันติ ตันติโตตัน นะโมตันตัน จะมรณภาพวันที่ 11 เมษายน เวลา 7 นาฬิกา 55 นาที พอวันที่ 11 มีนาคม หลวงพ่อก็ล้มป่วย ไม่มีโรคอะไร เพียงแต่ไม่มีกำลัง ฉันอาหารไม่ได้ ไม่ยอมไปโรงพยาบาล มีอาการไข้แทรก ฉันอาหารแทบไม่ได้เลยไม่มีรสชาติ บางครั้งท่านพ่นข้าวออกจากปาก ไม่ยอมฉัน แล้วหยิบแผ่นตะกรุดขื้นมาจาร บางครั้งก็จับสายสิญจน์ปลุกเสกวัตถุมงคล กลางคืนก็จับสายสิญจน์ปลุกเสกวัตถุมงคล บางคืนถึงสว่าง ร่างกายของท่านปกติก็ผอมมากอยู่แล้ว กลับผอมหนักเข้าไปอีก เมื่อมีศิษย์มาเยี่ยม ศิษย์ท่านหลายคนร้องไห้โฮ่ แทบทุกคนจะร้องไห้ ท่านจะดุศิษย์ว่า มึงร้องไห้ทำไม กูไปดี เป็นห่วงแต่พวกมึงนั้นแหละ ช่วงนั้นหวยใกล้จะออก ท่านได้เขียนเลขหวย 3 เอาไว้ในฝ่ามือ ใครที่ไปเยี่ยมท่าน คนไหนมีโชกลาภ ท่านจะแบมือให้ดู
วันที่ 10 เมษายน กลางคืนมีศิษย์มาเฝ้าท่านเต็มไปหมด ตอนเช้ายิ่งมาก เพราะทราบว่าท่านจะมรณภาพ แต่ท่านก็ไม่มรณภาพ ท่านผอมมาก มีแต่หนังหุ้มกระดูก มีแต่ประกายตาที่สดใสเท่านั้น จนกระทั่งตกกลางคืนท่านก็ไม่มรณภาพ ค่อนสว่าง วันที่ 12 เมษายน 2522 ทางกรรมการวัดและศิษย์ใกล้ชิด ได้ประชุมปรึกษากันว่า สงสัยในกุฏิท่านจะลงอาถรรพณ์เอาไว้ ตลอดจนตำราอักขระเลขยันต์ ตลอดจนรูปครูบา อาจารย์ คงจะไม่มีใครกล้ามารับท่านแน่ อยากเห็นท่านไปดี จึงปรึกษากันนำท่านออกมาที่หอสวดมนต์ เมื่อเตรียมที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว อุ้มท่านมาที่เตียงบริเวณหอสวดมนต์ ท่านลืมตาขื้นเป็นการสั่งลาครั้งสุดท้าย แล้งหลับตาพนมมือเกิดอัศจรรย์ ระฆังใบใหญ่ที่หอสวดมนต์ได้ขาดตกลงมาดังหง่างๆๆๆ ดังยาวนาน ศิษย์ที่อยู่ศาลาเข้าใจว่าท่าน มรณภาพแล้ว จึงได้ตีระฆัง คือคาดว่ามีคนตีระฆัง เมื่อจับมาดุเป็นเวลา 7 นาฬิกา 55 นาที จับชีพจรท่านดู ปรากฏว่าท่านมรณภาพแล้ว ตรงกับวันที่ 12 เมษายน พ .ศ 2522 รวมสิริอายุตอนนั้นได้ 74 ปี พรรษา ที่ 54
ปัจจุบันใน วันที่ 12 เมษายน ของทุกปี จะเป็นวันทำบุญประจำปีเพื่ออุทิศและระลึกถึงหลวงพ่อ.