ตำนานผ้ายันต์พัดโบก
ปัญญาญาณหลวงปู่ทิมกับกัญชาเครื่องเชื่อมวิชา
อานุภาพที่ประจักษ์ สู่การแสวงหาอันลึกซึ้ง
ในวงการพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง ไม่มีเซียนพระท่านใดไม่รู้จัก “ผ้ายันต์พัดโบก” ของหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง วัตถุมงคลชิ้นนี้จัดเป็น “ของหายากมาก” ที่นักสะสมต่างปรารถนา ด้วยเชื่อมั่นในพุทธคุณอันครอบจักรวาล โดยเฉพาะด้านเมตตามหานิยมและมหาเสน่ห์. เบื้องหลังความศักดิ์สิทธิ์นี้ มีเรื่องราวการแสวงหาวิชาอันน่าทึ่งของหลวงปู่ทิม ที่สะท้อนถึงปัญญาญาณอันลึกซึ้งของท่าน โดยมี “กัญชา” เป็นกุญแจสำคัญในการเปิดประตูสู่ภูมิปัญญาแห่งครูบาอาจารย์
1. จุดกำเนิดแห่งความสนใจ: ประจักษ์อานุภาพ “ผ้าโบกสาว”
ความสนใจในวิชาผ้ายันต์พัดโบกของหลวงปู่ทิมนั้น มิได้เกิดขึ้นลอยๆ หากแต่มาจากประสบการณ์ตรงที่ท่านได้เห็นอานุภาพของวิชานี้ด้วยตาตนเอง สมัยที่ท่านยังเป็นทหารรับใช้ชาติ ท่านได้รู้จักกับเพื่อนทหารผู้หนึ่งซึ่งมีพื้นเพอยู่บ้านค่าย เพื่อนผู้นั้นพก “ผ้าโบกสาว” หรือ “ผ้ายันต์พัดโบก” ของหลวงพ่อกราด วัดซากกอไผ่ ติดตัวอยู่เสมอ.
เรื่องเล่าขานกันว่า เพื่อนทหารท่านนี้ได้สำแดงฤทธิ์ของผ้ายันต์ให้หลวงปู่ทิมได้ประจักษ์ โดยใช้ผ้ายันต์โบกเรียกหญิงสาวที่ตนหมายปอง ซึ่งเคยด่าทอเขาอย่างเจ็บแสบ ผลปรากฏว่าอานุภาพของผ้ายันต์นั้นรุนแรงถึงขนาดทำให้หญิงสาวผู้นั้นทิ้งคันไถที่กำลังไถนาอยู่ และหอบผ้าหอบผ่อนติดตามเพื่อนทหารท่านนั้นกลับบ้านค่ายไปอยู่กินด้วยกันเลยทีเดียว. การได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์อันน่าอัศจรรย์นี้ ทำให้หลวงปู่ทิมผู้ซึ่งสนใจในเวทมนตร์คาถามานานแล้ว เกิดความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะร่ำเรียนวิชานี้ให้จงได้.

ผ้ายันต์ยืนยิ้ม หลวงปู่ทิม
2. การแสวงหาครูบาอาจารย์: ปัญญาญาณเหนือสามัญ
เมื่อหลวงปู่ทิมได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านมิได้รอช้าที่จะออกเดินทางไปหาหลวงพ่อกราด วัดซากกอไผ่ เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์และขอร่ำเรียนวิชาผ้ายันต์พัดโบก. ทว่าการเดินทางครั้งนั้นมิได้ราบรื่นอย่างที่คิด ในครั้งแรกที่หลวงปู่ทิมไปถึงวัด หลวงพ่อกราดกลับชี้หน้าและโวยวายไล่ท่านออกจากวัด พร้อมปฏิเสธว่าตนไม่มีวิชาพัดโบกอะไรทั้งสิ้น.
แต่หลวงปู่ทิมท่านเป็นผู้มีความอดทนเป็นเลิศ และที่สำคัญคือท่านมี “ปัญญาญาณ” หรือ “ญาณหยั่งรู้” ที่เหนือกว่าคนทั่วไป ท่านได้ศึกษาอุปนิสัยใจคอของหลวงพ่อกราดมาจากเพื่อนทหารก่อนหน้านี้แล้วว่า หลวงพ่อกราดเป็นพระที่ปากร้าย ดุด่าไม่เลือกหน้า และที่สำคัญคือ “ชอบสูบกัญชาเป็นชีวิตจิตใจ”.
ด้วยความเข้าใจในอัธยาศัยเฉพาะตัวของครูบาอาจารย์ หลวงปู่ทิมจึงมิได้ย่อท้อ ท่านยังคงนั่งรออยู่ใกล้ๆ หลวงพ่อกราด เมื่อหลวงพ่อกราดหยุดด่าและคว้าเขียงกัญชาขึ้นมาเพื่อจะหั่นกัญชาสูบ แต่กลับมองหากัญชาไม่เจอ ในจังหวะนั้นเอง หลวงปู่ทิมได้หยิบ “ห่อกัญชา” ที่ท่านเตรียมใส่ย่ามติดตัวมาด้วยออกมาถวายแด่หลวงพ่อกราด.
หลวงพ่อกราดเมื่อได้รับกัญชาที่ถูกใจ ก็คว้าไปหั่น ยัดใส่บ้อง และจุดไฟสูบกัญชาอย่างสบายอารมณ์ เมื่ออารมณ์ของท่านค่อยๆ ดีขึ้น เห็นดังนั้น หลวงปู่ทิมจึงคลานเข้าไปหาอีกครั้งและเอ่ยปากฝากตัวเป็นศิษย์. การกระทำที่ดูเหมือนจะผิดแปลกจากขนบธรรมเนียมนี้ กลับเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้หลวงปู่ทิมได้รับการถ่ายทอดวิชาผ้ายันต์พัดโบกอย่างไม่ปิดบังอำพราง ในขณะที่พระภิกษุอีกรูปที่ร่วมเดินทางไปด้วยกลับไม่ได้รับวิชาเดียวกันนี้. นี่คือจุดเด่นที่สะท้อนถึงความเฉลียวฉลาดและปัญญาญาณอันลึกซึ้งของหลวงปู่ทิม ที่สามารถเข้าถึงจิตใจของครูบาอาจารย์ได้อย่างแท้จริง

3. ตำนานและพุทธคุณ ผ้ายันต์พัดโบกหลวงปู่ทิม:
หลวงปู่ทิมได้เล่าเรียนและศึกษาวิชาอาคมอยู่กับหลวงพ่อกราดถึง 2 ปี จนเชี่ยวชาญในวิชาต่างๆ โดยเฉพาะวิชาผ้ายันต์พัดโบก. หลังจากนั้น ท่านได้ฝึกฝนจนสามารถสร้างผ้ายันต์พัดโบกขึ้นได้ด้วยตนเอง แต่ท่านก็หยุดเพียงเท่านั้น และได้แสวงหาครูบาอาจารย์ร่ำเรียนวิชาอื่นๆ ต่อไป.
การสร้างผ้ายันต์พัดโบกของหลวงปู่ทิมในยุคแรกๆ นั้น ห่างจากวัยที่ท่านร่ำเรียนมาหลายสิบปี จนกระทั่งท่านอายุล่วงเข้า 70 ปี ท่านจึงได้ทดลองสร้างผ้ายันต์พัดโบกอย่างพิถีพิถันตามตำราที่ได้ร่ำเรียนมากับหลวงพ่อกราด. การสร้างผ้ายันต์รุ่นแรกๆ นี้ ต้องแสวงหาวัสดุอาถรรพณ์หลายชนิดมาผสมกับหมึกที่จะใช้เขียนอักขระเลขยันต์ เช่น ไม้ไก่กุก, ไม้แยงแย้, ขมิ้นขาว, และไพลดำ. เมื่อได้วัสดุเหล่านี้มาแล้ว ก็นำมาบดให้ละเอียด ปลุกเสกตามกรรมวิธี แล้วนำมาผสมกับหมึกสำหรับลงผ้า เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีจึงนำมาลงบนผ้ายันต์ และนำไปปลุกเสกในโบสถ์ด้วยคาถาพัดโบก. ผ้ายันต์พัดโบกที่หลวงปู่ทิมสร้างขึ้นตามตำรานี้มีชื่อเสียงมาก แต่ท่านทำได้เพียงครั้งละไม่กี่ผืน. ผ้ายันต์ยุคต้นมัก เป็นผ้าขาวจารมือด้วยดินสอ ลายมือมาตรฐาน และจัดเป็นที่หายากยิ่ง.

ต่อมา เมื่อหลวงปู่ทิมย่างเข้าสู่วัยชรา อายุ 90 กว่าปี ท่านได้สั่งให้สร้างผ้ายันต์พัดโบกสีขาวขึ้นเป็นจำนวนมากในงานผูกพัทธสีมาของวัดละหารไร่ในปี พ.ศ. 2516 (บางแหล่งระบุ พ.ศ. 2517). ผ้ายันต์ชุดนี้สร้างโดยวิธีหมุนโรเนียว ใช้หมึกพิมพ์ธรรมดา ไม่มีการผสมวัสดุอาถรรพณ์เหมือนรุ่นแรกๆ. ลูกศิษย์ใกล้ชิดที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเห็นด้วยตาตัวเองว่า หลวงปู่ทิมปลุกเสกผ้ายันต์รุ่นแรกนี้จนผ้ายันต์ปลิวว่อนไปหมด.
พุทธคุณของผ้ายันต์พัดโบกหลวงปู่ทิมนั้นเชื่อกันว่าเหลือล้นครอบจักรวาล ทั้งในด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ แคล้วคลาด ปลอดภัยจากภัยอันตรายนานาประการ ปกป้องคุ้มครองจากภูตผีปีศาจและคุณไสยต่างๆ หากนำไปติดบูชาไว้ที่บ้านก็จะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและอยู่เย็นเป็นสุข.

4. บริบททางกฎหมายของกัญชาในอดีต: ก่อนการควบคุมจากตะวันตก
ประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งในเรื่องราวนี้คือ การที่หลวงปู่ทิมนำกัญชาไปถวายหลวงพ่อกราด ซึ่งในยุคสมัยนั้น กัญชายังไม่ถูกมองว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน.
ในอดีต กัญชาถูกใช้ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งในฐานะส่วนประกอบในตำรับยาแผนไทย เครื่องปรุงรสในอาหาร และแหล่งเส้นใย. มีการบันทึกว่ากรรมกรใช้กัญชาเพื่อคลายกล้ามเนื้อ และยังใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากการคลอดบุตรในสตรี. การใช้ประโยชน์จากกัญชาในวิถีชีวิตประจำวันและทางการแพทย์แผนโบราณนี้ บ่งชี้ถึงช่วงเวลาที่กัญชายังไม่ถูกควบคุมทางกฎหมายอย่างเข้มงวด หรือยังไม่ถูกมองว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายโดยสิ้นเชิงในสังคมไทย.
การควบคุมกัญชาในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) ด้วยการประกาศใช้ พระราชบัญญัติกัญชา พุทธศักราช 2477 ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่กำหนดให้การครอบครอง การเพาะปลูก การจำหน่าย และการใช้กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย. หลังจากนั้น กัญชาได้ถูกจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ภายใต้ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522.
หลวงปู่ทิมอุปสมบทในปี พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900). หากเหตุการณ์การแสวงหาวิชาผ้ายันต์พัดโบกจากหลวงพ่อกราดเกิดขึ้นในช่วงต้นของชีวิตสมณเพศของท่าน นั่นคือ ก่อนปี พ.ศ. 2477 ข้อสันนิษฐานที่ว่ากัญชายังไม่ผิดกฎหมายในขณะนั้นย่อมเป็นไปได้. การที่หลวงปู่ทิม ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่และเป็นที่เคารพอย่างสูง มีปฏิสัมพันธ์กับกัญชาในลักษณะนี้ แสดงให้เห็นว่าในบางบริบททางวัฒนธรรมหรือในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมบางกลุ่ม การใช้หรือการมีอยู่ของกัญชาอาจไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสิ่งต้องห้ามทางศีลธรรมอย่างเด็ดขาด ก่อนที่กฎหมายจะเข้ามาควบคุม ซึ่งแตกต่างจากสุราที่ถูกห้ามอย่างชัดเจนในพระวินัยมาโดยตลอด.

ปัญญาญาณที่นำทางสู่ความสำเร็จ
เรื่องราวการได้มาซึ่งวิชาผ้ายันต์พัดโบกของหลวงปู่ทิม อิสริโก จากหลวงพ่อกราด วัดซากกอไผ่ จึงมิใช่เพียงตำนานการเรียนวิชาอาคมธรรมดา แต่เป็นบทเรียนอันลึกซึ้งถึง “ปัญญาญาณ” และความเฉลียวฉลาดของหลวงปู่ทิม ท่านมิได้ยึดติดกับขนบธรรมเนียมที่ตายตัว แต่สามารถหยั่งรู้ถึงอัธยาศัยเฉพาะตัวของครูบาอาจารย์ และใช้ “กัญชา” ซึ่งในยุคนั้นยังไม่ถูกควบคุมทางกฎหมายอย่างเข้มงวด เป็นเครื่องเชื่อมสัมพันธภาพและเปิดประตูสู่การถ่ายทอดวิชาอันศักดิ์สิทธิ์ การกระทำนี้สะท้อนถึงความเข้าใจอันลึกซึ้งในธรรมชาติของมนุษย์ และความสามารถในการปรับตัวเพื่อบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงภูมิปัญญาอย่างแท้จริง.
