กำเนิดเครื่องรางของขลัง

กำเนิดความเป็นมาเครื่องรางของขลัง

จากบันทึกในตำราพิชัยสงครามกล่าวว่า นักรบจะมีเครื่องรางของขลังติดตัวเพื่อสร้างผลให้เกิดเป็นมงคล คงกระพัน แคล้วคลาด ยามออกศึกสงคราม โดยมีหลากหลายชนิด หลายลักษณะ ซึ่งมักจะได้รับมาจากพระสงฆ์ซึ่งชาวบ้านนับถือ มีจิตญาณสูง เก่งทางวิชาอาคม และนักรบจะมีความเชื่อต่อของขลังนั้นๆ อย่างมั่นคง จะเห็นได้จากการสืบทอดสรรพตำราตกทอดกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ซึ่งเครื่องราง สามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทต่างๆดังนี้

เครื่องรางของขลัง

แบ่งตามการเกิดมาของเครื่องราง ได้แก่

  1.   เป็นสิ่งที่เกิดมาจากธรรมชาติ ไม่มีการสรรค์สร้าง ถือว่ามีดีในตัวและมีเทวดารักษาสิ่งนั้น เช่น เหล็กไหล คดต่างๆ เขากวางคุด เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือกลวง เถาวัลย์ ฯลฯ
  2.   เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาใหม่ ด้วยการนำแร่ธาตุต่างชนิด มาหลอมตามสูตรการเล่นแร่แปรธาตุในสมัยก่อน เช่น เมฆสิทธิ์ เมฆพัดเหล็กละลาย ตัวสัมฤทธิ์นวโลหะ สัตตะโลหะ ปัญจโลหะ เป็นต้น ทั้งนี้ครอบคลุมไปถึงเครื่องรางลักษณะต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงน์คุ้มกันภัยอันตราย

เครื่องรางของขลัง

 เครื่องคาด อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้คาดศีรษะ คาดเอว และคาดแขน ฯลฯ

  1.   เครื่องสวม อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้สวมคอ สวมศีรษะ สวมแขน สวมนิ้ว ฯลฯ
  2.   เครื่องฝัง อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้ฝังลงไปในเนื้อหนังของคน เช่น เข็มทอง ตะกรุดทอง ตะกรุดสาลิกา (ใส่ลูกตา) และการฝั้งเหล็กไหลหรือฝังโลหะมงคลต่างๆ ลงไปในเนื้อ จะรวมอยู่ในพวกนี้ทั้งสิ้น
  3.   เครื่องอม อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้อมในปาก อาทิเช่น ลูกอม ตะกรุดลูกอม (สำหรับในข้อนี้ไม่รวมถึงการอมเครื่องรางชนิดต่างๆ ที่มขนาดเล็กไว้ในปาก เพราะไม่เข้าชุด)

แบ่งตามวัสดุของเครื่องราง ได้แก่

  1.   โลหะ
  2.   ผง
  3.   ดิน
  4.   วัสดุอย่างอื่น เช่น กระดาษสา ชัน โรงดิน ขุยปู
  5.   จากสัตว์ เช่น เขี้ยวสัตว์ เขาสัตว์ งาสัตว์ เล็บสัตว์ หนังสัตว์
  6.   จากชิ้นส่วนคนตาย เช่น ผมผีพราย ผ้าตราสัง ผ้าห่อศพ ผ้าผูกคอตาย
  7.   จากทั่ว ๆ ไป เช่น ผ้าทอ

เครื่องรางของขลัง

แบ่งตามรูปแบบลักษณะที่เห็นของเครื่องราง ได้แก่

  1.   เพศชาย อันได้แก่ รักยม กุมารทอง ฤๅษีพ่อเฒ่า ชูชก หุ่นพยนต์พระสีสแลงแงง และสิ่งที่เป็นรูปของเพศชายต่างๆ
  2.   เพศหญิง อันได้แก่ แม่นางกวัก แม่พระโพสพ แม่ครีเรือน แม่ซื้อ แม่หม่อมกวัก เทพนางจันทร์ พระแม่ธรณี และสิ่งที่เป็นรูปของ ผู้หญิงต่างๆ
  3.   สัตว์ ในที่นี้หมายถึงพระโพธิสัตว์ อาทิ เสือ ช้าง วัว เต่า จระเข้ งู ดังนี้เป็นต้น…

เครื่องลางของขลัง

แบ่งตามขั้นลำดับและระดับชั้นของการปลุกเสกเครื่องราง ได้แก่

  1.   เครื่องรางชั้นสูง อันได้แก่ เครื่องรางที่ใช้บนส่วนสูงของ ร่างกายซึ่งนับตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงบั้นเอว สำเร็จด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
  2.   เครื่องรางชั้นต่ำ อันได้แก่ เครื่องรางที่เป็นของต่ำ เช่น ปลัดขิก อีเป๋อ (แม่เป๋อ) ไอ้งั่ง (พ่องั่ง) ไม่ได้สำเร็จด้วยของสูง
  3.   เครื่องรางที่ใช้แขวน อันได้แก่ ธงรูปนก รูปตั๊กแตน รูปปลาหรือกระบอกใส่ยันต์ และอื่นๆ

เมื่อเราแบ่งแยกออกเป็นหมวดหมู่ให้เห็นกันง่ายๆ ขึ้นแล้ว เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกันว่า ที่มาของการสร้างเครื่องรางนั้นแต่เดินสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ซึ่งขออธิบายง่ายๆ คือ ในสมัยก่อนนั้นโลกยังไม่มีศาสนา มนุษย์รู้จักเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น เช่นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และดาวตกหรือแม้กระทั่งไฟ

ดังนั้นเมื่อคนสมัยก่อนเห็นพระอาทิตย์มีแสงสว่างก็เกิดความเคารพ แล้วเขียนภาพดวงอาทิตย์ไว้ในผนังถ้ำ เพื่อให้เกิดความอุ่นใจในยามค่ำคืน เมื่อเขียนใส่ผนังถ้ำแล้วก็มาสลักลงบนหินเพื่อติดตัวไปมาได้ ก็กลายเป็นเครื่องรางไปโดยบังเอิญ ต่อมาเมื่อรู้จักไฟก็คิดว่าไฟเป็นเทพเจ้า เกิดการบูชาไฟ ทำรูปดวงไฟ

ต่อมาเมื่อมีการเดินทางมากได้พบเห็นสิ่งประหลาดต่างๆ เช่น นก ที่มีรูปร่างประหลาด ก็คิดว่าเป็นเทพ จึงสร้างรูปเคารพของเทพต่างๆและค่อยๆ เปลี่ยนรูปมาเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากประเทศอียิปต์ กรีกและโรมัน เพราะเป็นประเทศที่มีเครื่องรางมากมาย

ต่อมาในช่วงพุทธกาลราวเมื่อ 2,000 ปีเศษ ศาสนาพราหมซึ่งถือเอาพระผู้เป็นเจ้าเป็นสรณะก็บังเกิดขึ้น พระผู้เป็นเจ้านั้นคือพระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม และเมื่อต้องการความสำเร็จผลในสิ่งใด ก็มีการสวดอ้อนวอนอันเชิญ ขออำนาจของเทพเจ้าทั้งสามให้มา บันดาลผลสำเร็จที่ต้องการนั้นๆ การกระทำดังกล่าวนี้ จะต้องมีเครื่องหมายทางใจเพื่อการสำรวม ฉะนั้นภาพจำหลักของเทพเจ้าจึงมีกิดขึ้น จะเห็นได้จากรูปหะริหะระ” (HariHara) แห่งประสาทอันเดต (PrasatAndet) ที่พิพิธภัณฑ์เมืองพนมเปญ อันเป็นภาพจำหลักของพระนารายณ์ในศาสนาพราหมณ์ หรือเทวรูปมหาพรหมแห่งพิพิธภัณฑ์กีเมต์ที่ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นมาด้วยความมุ่งหมายเอาเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางใจในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นศาสนาเก่าแก่ในประเทศอินเดีย

ในเวลาต่อมาพระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้นในโลกโดยพระบรมศาสดา(เจ้าชายสิทธัตถะ) เป็นผู้ทรงค้นพบอมตะธรรมอันวิเศษ โดยมีผู้เลื่อมใส สักการะแล้วยึดเป็นสรณะ ดังนั้นพระพุทธองค์ทรงมีพระสาวกตามเสด็จ และร่วมประพฤติปฏิบัติด้วยมากมาย จนเป็นพระอสีติมหาสาวกขึ้น ซึ่งท่านมหาสาวกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ทรงไว้ในความเป็นเอตทัลคะในด้านต่างๆกัน ได้แก่ พระสารีบุตรทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางปัญญา พระโมคคัลลานะทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางอิทธิฤทธิ์ (ในพระพุทธศาสนานั้นผู้ที่สำเร็จญาณสมาบัติได้ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ย่อมแสดงอิทธิฤทธิ์ได้หลายอย่างเป็นอเนกประการ อิทธิฤทธิ์เหล่านี้เรียกว่า อิทธิปาฏิหาริย์เป็นการกระทำที่สามัญชนไม่สามารถจะกระทำได้ ดังมีหลักฐานปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมากมาย) ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงไว้ด้วยคุณ 3 ประการคือ

  1.   พระเมตตาคุณ
  2.   พระปัญญาคุณ
  3.   พระบริสุทธิคุณ

ดังนั้นพระเถระผู้มีญาณสมาบัติก็มักจะใช้ฤทธิ์ของท่านช่วยมนุษย์ และสัตว์โลกซึ่งถือเอาหลักพระเมตตาคุณ เป็นการเจริญรอยตามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระบรมศาสนานั้นเอง

เครื่องรางของขลัง

เครื่องราง – เครื่องลาง

คำว่าเครื่องรางกับเครื่องลางคำใดจึงเป็นคำที่ถูกต้อง ซึ่งในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานระบุว่าเครื่องรางหมายถึงเครื่องป้องกันภัยที่ทำสำเร็จด้วย ราง หรือ ร่อง แต่สำหรับนักนิยมสะสมเครื่องรางระดับสากลนิยมที่จะเรียกว่าเครื่องลางมากกว่า โดยหมายถึงเครื่องที่ใช้เกี่ยวกับโชคลาง เครื่องคุ้มครอง ปกป้อง กันภัย เพราะแต่เดิมนั้นมนุษย์ทำของเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่เรียกว่า ลางหรือสิ่งป้องกันภัย อันจะเกิดในอนาคต ให้แคล้วคลาด นั่นเอง.

เหล็กไหลท้องปลาไหล

เหล็กไหลท้องปลาไหล

เหล็กไหลชนิดนี้ เป็นเหล็กไหลน้ำหนึ่ง ที่ไม่ยอมแข็งตัวเองในธรรมชาติ  ชอบแฝงตัวอยู่ภายในถ้ำลึกที่มีความสงบ  ราวกับว่าจำศีลบำเพ็ญเพียร  การตัดเหล็กไหลชนิดนี้ก็เหมือนกับการตัดแร่เหล็กไหลปีกแมลงทับทุกประการ  คือต้องล่อด้วยน้ำผึ้งพระจันทร์ และตัดด้วยมีดอาคม โดยจะต้องตัดเส้นไยเหล็กไหล ให้ขาดภายในสามครั้ง  มิฉะนั้นหากเกินกว่าสามครั้งอาจเป็นอันตรายจากเส้นไยของเหล็กไหลชนิดนี้ได้

เหล็กไหลท้องปลาไหลจะมีสีสันเหมือนกับ สีของท้องปลาไหลตามธรรมชาติ  จัดเป็นแร่เหล็กไหลน้ำหนึ่งที่มีความงดงาม และหาได้ยากมาก เด่นในเรื่องของการสร้างภาพมายา บางครั้งก็สร้างภาพนิมิตให้เห็นเป็นงูขนาดใหญ่  ที่มีความดุร้าย และน่ากลัวมาก  ทำให้ผู้ที่พยายามเข้าไปตัดเหล็กไหลชนิดนี้ เกิดอาการเสียสติประสาทหลอน  ด้วยเพราะพลังอำนาจในการสร้างภาพมายานิมิตของเหล็กไหลท้องปลาไหลนั่นเอง

ผู้ที่ครอบครองเหล็กไหลท้องปลาไหล จึงสามารถใช้ พลังจิตของเหล็กไหลชนิดนี้ ในการสร้างภาพมายานิมิต ให้ปรากฏขึ้นได้โดยเฉพาะหากนำเหล็กไหลท้องปลาไหล มาใช้ร่วมกับพลังอำนาจจิตสร้างภาพมายานิมิต ของการเพ่งกสิณด้วยแล้ว  จะสามารถสร้างมายานิมิตได้อย่างน่าอัศจรรย์

โคตรเหล็กไหล  เป็นแร่เหล็กไหลน้ำรอง ที่เกิดจากการแข็งตัวเองตามธรรมชาติ  งอกตัวเกาะอยู่ตามผนังถ้ำ  เสพน้ำผึ้ง อาบแสงจันทร์  เจริญเติบโตได้ราวกับสิ่งมีชีวิต.

แร่เหล็กไหลเกาะล้าน

เหล็กไหลกับพลังพระจันทร์

ในการฝังแร่เหล็กไหลจะต้องเป็นข้างขึ้น คือพระจันทร์  ดังนั้นพิธีกรรมการฝังแร่เหล็กไหล จึงมักกระทำในคืนวันเพ็ญ หรือ ขณะที่พระจันทร์เดินทางเข้ามาใกล้โลกมากที่สุด เพื่อต้องการพลังอันเร้นลับจากพระจันทร์

พลังจากแสงพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ นอกจากจะช่วยเพิ่มพลังให้แร่เหล็กไหลมีพลังอำนาจสูงสุดแล้ว  แสงพระจันทร์  ยังช่วยให้บาดแผลที่เกิดจากการฝังแร่เหล็กไหลสมานติดกันได้ราวอัศจรรย์  พิธีกรรมการฝังแร่เหล็กไหล จึงมักประกอบในที่โล่งแจ้ง เพื่อที่จะได้รับพลังจากพระจันทร์ได้อย่างเต็มที่

ความเร้นลับของพลังอำนาจของพระจันทร์นั้นมีต่อ แร่เหล็กไหลเป็นอย่างมาก  แสงของพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ นั้นช่วยเพิ่มพลังให้กับแร่เหล็กไหล ช่วยสมานบาดแผล  และพลังแสงจันทร์ ยังทำให้น้ำผึ้งป่า กลายเป็น น้ำผึ้งพระจันทร์ ที่มีความหอมหวานกว่าน้ำผึ้งป่า ทั่วไป

เหล็กไหลที่นำมาเข้าพิธีการเสพน้ำผึ้ง และอาบแสงจันทร์

เหล็กไหลที่นำมาเข้าพิธีการเสพน้ำผึ้ง และอาบแสงจันทร์ ในคืนจันทร์เพ็ญ ซึ่งจะทำให้แร่เหล็กไหลมีอานุภาพในตัวสูงมากขึ้น

เหล็กไหลอาบแสงจันทร์ และเสพน้ำผึ้งพระจันทร์

แร่เหล็กไหลทุกชนิดจำเป็นจะต้องมี พิธีกรรมในการอาบแสงจันทร์ และพิธีการเสพน้ำผึ้งพระจันทร์  เพื่อเป็นการเรียกพลังภายในแร่เหล็กไหลใหกลับมีพลังขึ้นมา  หากแร่เหล็กไหลไม่ได้รับการอาบแสงจันทร์ และไม่ได้เสพน้ำผึ้งเป็นเวลานานๆ แร่เหล็กไหลจะเริ่มเปลี่ยนสภาพความเงางามของ แร่เหล็กไหลจะลดน้อยลงจนกระทั่งกลายเป็น เหล็กไหลตายซาก ที่ขาดพลังชีวิต และผุพังไปในที่สุด

ผู้ที่ฝังแร่เหล็กไหลไว้ภายในร่าง จึงต้องเข้าพิธีการอาบน้ำเพ็ญ ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง  เพื่อให้แร่เหล็กไหลที่ฝังอยู่ภายในร่างกายได้รับพลังจากพระจันทร์  ที่ถ่ายพลังผ่านธาตุน้ำมาเป็น น้ำเพ็ญ และในพิธีอาบน้ำเพ็ญ  ยังมีการถวายน้ำผึ้งป่ากลางแจ้ง  เพื่อให้แร่เหล็กไหลได้เสพน้ำผึ้ง ท่ามกลางแสงพระจันทร์ ในคืนวันเพ็ญ  ซึ่งพิธีกรรมอันสำคัญนี้ จะมีเพียงปีละครั้งเดียวเท่านั้น คือ ในคืนวันลอยกระทง หรือ คืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดวงจันทร์ เดินทางเข้ามาใกล้โลกมากที่สุด  ดวงจันทร์จะตั้งฉากตรงในลานพิธี  แสงของพระจันทร์ จะมีพลังมากที่สุดช่วงเวลานี้

เหล็กไหลอาบแสงจันทร์และเสพน้ำผึ้งพระจันทร์

น้ำที่ได้เตรียมไว้ในภาชนะที่วางไว้ในลาน ก็จะกลายเป็นน้ำเพ็ญอันศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นน้ำมนต์ที่ได้จากพลังแห่งดวงจันทร์ในธรรมชาติ  น้ำผึ้งป่าที่วางไว้ในลาน เมื่อถูกแสงพระจันทร์  ก็จะกลายเป็นสภาพเป็น น้ำผึ้งพระจันทร์ ที่มีความหอมและความหวานมากกว่า น้ำผึ้งป่าโดยทั่วไป และ น้ำผึ้งพระจันทร์นี้เองเป็นของโปรดของแร่เหล็กไหล  แร่เหล็กไหลที่ถูกฝังอยู่ภายในร่างกาย จะส่งพลังออกมาเพื่อเสพความหอมและความหวาน ( เสพรสเสพกลิ่น ) จากน้ำผึ้งที่แปรสภาพเป็นน้ำผึ้งพระจันทร์ ทำให้แร่เหล็กไหลกลับมีพลังชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง.

พระรอด เนื้อเหล็กไหล หลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรค์

การตัดแร่เหล็กไหลแบบร้อน และ แบบเย็น

– การตัดเย็น 

ในการตัดเหล็กไหล หากเป็นการกระทำพิธีภายในถ้ำที่รังเหล็กไหลรวมตัวกันอยู่ จะใช้วิธีการตัดด้วยเพ่งกสิณไฟ อันเป็นการตัดเหล็กไหลแบบตัดเย็น  ด้วยการใช้ขี้ผึ้งน้ำหนักราวหนึ่งบาทเพียงเล่มเดียว ในการลนแร่เหล็กไหล  แต่ทั้งนี้ผู้ที่ตัดแร่เหล็กไหล จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง หรือ สำเร็จการเพ่งกสิณไฟ  จึงจะสามารถบังคับไฟจากเปลวเทียนให้มีความร้อน จนกระทั่ง แร่เหล็กไหลยอมไหลออกมาจากรังเหล็กไหล แล้วหยดตัวลงในภาชนะที่ใส่น้ำผึ้งป่าแท้เอาไว้ ( ส่วนมากมักจะใช้บาตรใส่น้ำผึ้งพระจันทร์ ). รังเหล็กไหล

การตัดเย็นนี้ หากเป็นรังเหล็กไหลขนาดใหญ่อาจได้เม็ดแร่เหล็กไหลจำนวนมากนับร้อยเม็ด  แต่ถ้าเป็นรังเหล็กไหลขนาดเล็ก ก็จะได้แร่เหล็กไหลในปริมาณน้อยลงมาตามลำดับ  แต่จะมีลักษณะที่เหมือนกันคือ เป็นเม็ดกลมคล้ายกับเม็ดของไข่มุกขนาดเล็ก

แร่เหล็กไหลที่ได้จากการตัดเย็นนี้ ถือเป็นสุดยอดของแร่เหล็กไหล เพราะนอกจากจะได้ แร่เหล็กไหลชั้นดี ประเภทเหล็กไหลน้ำหนึ่ง ที่ไม่ยอมแข็งตัวเองตามธรรมชาติแล้ว ยังผ่านการตัดด้วยวิชาอาคมขั้นสุดยอด คือ การเพ่งเทียนด้วยกสิณไฟ  ผู้ที่ตัดแร่เหล็กไหลจะต้องผ่านการฝึกการเพ่งกสิณไฟ จนกระทั่งสำเร็จกสิณไฟ ( สามารถบังคับเปลวเทียนให้เกิดความร้อนได้ตามความต้องการ )เม็ดแร่เหล็กไหลที่ได้จากการตัดเย็น จึงเป็นแร่เหล็กไหลที่ดีที่สุดในปัจจุบัน

เม็ดแร่เหล็กไหลที่ได้จากการตัดเย็น

– การตัดร้อน

รังเหล็กไหลที่บรรดาแร่เหล็กไหล ไปรวมตัวกันอยู่ ในธรรมชาตินั้นนับวันมีแต่จะหายากมากขึ้นทุกที  จนอาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบันนี้แทบไม่มีใครเคยพบรังเหล็กไหล ในธรรมชาติอีกเลย จะมีก็แต่รังเดิมที่ครูบาอาจารย์ได้นำเอาไปเก็บรักษาไว้  ที่พอจะมีแร่เหล็กไหลน้ำหนึ่งแฝงตัวอยู่ภายในรังเหล็กประเภทนี้ เป็นรังเหล็กไหลที่ได้แยกตัวออกมาจากรังใหญ่ และได้นำรังเหล็กไหลบางส่วนออกมา  ดังนั้นเมื่อรังเหล็กไหลถูกนำออกมาจากถ้ำที่อยู่ตามธรรมชาติแล้ว  การตัดแร่เหล็กไหลจึงต้องใช้วิธี การตัดร้อน  เพราะว่ารังเหล็กไหลได้แยกตัวออกมาจากรังในธรรมชาติ ไม่สามารถใช้วิธี การตัดเย็นได้

เมื่อนำรังเหล็กไหลออกมาจากถ้ำในธรรมชาติแล้ว การที่จะลนแร่เหล็กไหลให้หยดตัวออกมา จึงต้องทำการ ตัดร้อน ด้วยการใช้ไฟที่มีความร้อนสูงมาก เช่น ไฟที่ใช้ในการตัดเหล็ก เป่าไปยังรังเหล็กไหล กำกับด้วยวิชาการตัดเหล็กไหล  หากผู้ตัดไม่มีวิชาการตัดเหล็กไหลควบคุมการใช้ไฟแล้ว  เมื่อนำไฟมาเป่าที่รังเหล็กไหล  นอกจากแร่เหล็กไหลที่แฝงตัวอยู่ภายในจะไม่ไหลออกมาจากรังแล้ว รังเหล็กไหลยังจะระเบิดตัวและแตกกระจายออกมาแทน  จนเป็นเหตุให้หลายคนที่พยายามลน แร่เหล็กไหล ด้วยวิธี การตัดร้อน ได้รับอันตรายจากการใช้ไฟเป่ารังเหล็กไหลอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อใช้ไฟที่มีความร้อนสูง เป่าไปยังรังเหล็กไหล ที่ได้นำออกมาจากถ้ำ แลัวกำกับด้วยคาถาอาคมการตัดเหล็กไหล  รังเหล็กไหลจะไม่ระเบิดตัวออก  และแร่เหล็กไหลที่แฝงตัวอยู่ภายในก็จะเริ่มเคลื่อนตัวออกมาอย่างช้าๆ แร่เหล็กไหลที่เริ่มเคลื่อนตัวออกมานี้จะมีความร้อนสูงมาก  มากจนกระทั่งสามารถเจาะทะลุเหล็กกล้าได้เลยทีเดียว  ดังนั้นในการตัดร้อนจึงต้องหาถาดสแตนเลสอย่างหนามารองรับ แร่เหล็กไหล ที่กำลังหยดตัวออกมาจากรัง จึงจะสามารถทนต่อความร้อนของ แร่เหล็กไหลได้

การตัดเหล็กไหลแบบร้อน

แต่การตัดแร่เหล็กไหลแบบร้อนนี้ เม็ดแร่เหล็กไหลจะมีลักษณะไม่เป็นเม็ดกลม เหมือนการตัดด้วยวิธีการลนด้วยเทียนหรือการตัดเย็น เพราะเมื่อแร่เหล็กไหลหยดตัวลงมากระทบกับถาดสแตนเลส จะมีลักษณะเรียบ เป็นไปตามพื้นผิวของถาดสแตนเลสที่ได้นำมาใช้รองไว้นั่นเอง แร่เหล็กไหลที่ได้จากการตัดร้อน จึงมีลักษณะนูนด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นจะมีลักษณะเรียบแบน ไม่กลมเหมือนกับเม็ดไข่มุก  แร่เหล็กไหลประเภทนี้ก็นับว่าใช้ได้เช่นกัน จะต่างกันตรงที่วิชาในการเรียกแร่เหล็กไหล  ซึ่งการตัดเย็นถือว่าเป็นสุดยอดวิชาเหล็กไหลที่อาศัยพลังจิต และวิชาอาคมของผู้ตัด  เหล็กไหลชนิดนี้จึงเป็นสุดยอดของ เหล็กไหลน้ำหนึ่ง  ส่วนการตัดแบบร้อนนั้น ผู้ตัดไม่จำเป็นต้องสำเร็จกสิณไฟ  เพียงแค่มีพลังจิตบางส่วนและเรียนรู้วิชาการบังคับ เหล็กไหล ในระดับหนึ่งเท่านั้นก็สามารถ ตัดเหล็กไหลแบบร้อนได้แล้ว

โคตรเหล็กไหล

ประเพณี การฝังแร่เหล็กไหลในร่างกาย

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า แร่เหล็กไหลของแท้ของจริงนั้นย่อมต้องคู่กับคนจริง ดังนั้นผู้ที่ใจกล้ามีความศรัทธาในธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลเท่านั้นที่ แร่เหล็กไหลยอมที่จะอยู่ด้วย พิธีการฝังเหล็กไหลจึงเป็นพิธีอันมีความสำคัญ และแสดงให้เห็นความเชื่อมั่น และศรัทธาในแร่กายสิทธิ์เหล็กไหลอย่างแรงกล้า มิเช่นนั้นแล้วคนธรรมดาคงไม่กล้าพอที่จะให้ใครเอาสิ่วที่แหลมคมมาเจาะเข้าเนื้อตัว ซึ่งต้องมีความอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างมาก กว่าที่แร่เหล็กไหลจะถูกฝังเข้าไปในร่างกาย

อันที่จริงแล้วหากผู้ใดมีความเชื่อมั่น และศรัทธาก็จะสามารถผ่านพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ไปได้ โดยไม่ได้รับความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย แต่หากจิตใจยังไม่มั่นคงพอ  เมื่อถูกเหล็กอาคมทะลุเนื้อก็จะได้รับความเจ็บปวดเอาการอยู่เหมือนกัน

พิธีการฝังแร่เหล็กไหล

พิธีการฝังแร่เหล็กไหล

ดังนั้นที่จะเข้ารับการการฝังแร่เหล็กไหล จะต้องมีจิตใจที่มั่นคงและมีความศรัทธาในแร่กายสิทธิ์เหล็กไหลอย่างแท้จริง

เมื่อผ่านพิธีกรรมนี้ไปได้ แร่เหล็กไหลชั้นดีก็จะเป็นสมบัติติดตัวของเราไปจนตาย และคอยคุ้มครองเราจากภัยอันตรายต่างๆ ได้อย่างอัศจรรย์ยิ่ง

การฝังแร่เหล็กไหลตอกด้วยเหล็กอาคม

การฝังแร่เหล็กไหลจำเป็นจะต้องเจาะเนื้อด้วยการใช้เหล็กแหลมอาคม เจาะเข้าไปภายในร่างกาย เพื่อที่จะนำแร่เหล็กไหลฝังเข้าไปในร่างกายได้  ดังนั้นผู้ที่จะเข้าพิธีการฝังแร่เหล็กไหลได้ จึงต้องเป็นผู้ที่มีความศรัทธาในแร่เหล็กไหลอย่างแท้จริงเท่านั้น  เพราะต้องผ่านความเจ็บปวดจากการเจาะเนื้อด้วยเหล็กแหลม จนกระทั่งทะลุทั้งสองด้าน  เพื่อที่จะสามารถนำแร่เหล็กไหลฝังลงไประหว่างรอยแผลได้  หากเจาะไม่ทะลุ  แร่เหล็กไหลจะถูกร่างกายต่อต้าน และผลักแร่เหล็กไหลให้หลุดออกมาจากร่างกายได้  ดังนั้นการฝังแร่เหล็กไหลที่ถูกต้อง จึงต้องเจาะเนื้อบริเวณที่ทำการฝังให้ทะลุทั้งสองด้าน  แร่เหล็กไหลจึงจะไม่หลุดออกมาจากร่างกาย

เหล็กที่ใช้ตอกควรทำด้วยแร่เหล็กน้ำพี้ ที่มีความแกร่งและเหนียวมาก ผสมกับแร่เหล็กไหลน้ำหนึ่งสุริยัน ( เหล็กไหลเพลิง ) จันทรา ( ไหลเพชรดำ ) ด้วยพลังพระอาทิตย์ และ พลังพระจันทร์ จึงสามารถตอกทะลุเนื้อได้ในครั้งเดียว ไม่ว่าในร่างกายของผู้นั้นจะลงอาคมชนิดไหนมาก็ตาม  ก็ไม่อาจทนต่อเหล็กอาคมเล่มนี้ได้  เหล็กอาคมจะสามารถเจาะทะลุเนื้อได้ทุกราย

เหล็กไหลเพลิง

ตำแหน่งการฝังแร่เหล็กไหล

การเลือกตำแหน่งในการที่จะฝังแร่เหล็กไหล นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก  หากเป็นทหารนักรบ ให้ฝังตรงที่ตำแหน่งหัวไหล่ เพราะเป็นตำแหน่งที่แร่เหล็กไหลส่งพลังเป็นมหาอุดได้ดีที่สุด  แต่หากเป็นคนธรรมดาที่มิได้เข้าทำการรบทัพจับศึก ให้ฝังแร่เหล็กไหลที่บริเวณใต้ท้องแขน โดยผู้ชายจะฝังที่แขนขวา  และผู้หญิงจะฝังที่แขนด้านซ้าย  ซึ่งตามตำนานการฝังเหล็กไหลกล่าวเอาไว้ว่า หญิงซ้าย ชายขวา  แต่มีหลายคนเหมือนกันที่ฝังทั้งแขนซ้ายและแขนขวา

แร่เหล็กไหลที่ฝังอยู่ใต้ท้องแขน

แร่เหล็กไหลที่นำมาใช้ฝังจะเป็นเหล็กไหลชั้นดี ประเภทเหล็กไหลน้ำหนึ่ง ที่ต้องใช้การลนเท่านั้น  เพราะเป็นแร่เหล็กไหลที่ไม่ยอมแข็งตัวเองในธรรมชาติอย่าง ” เหล็กไหลเพชรดำ ” เป็นต้น จึงต้องมีพิธีการลนแร่เหล็กไหล ประเภทนี้เป็นพิเศษ  ซึ่งจะทำพิธีลนแร่เหล็กไหลกันในถ้ำ ที่แร่เหล็กไหลรวมตัวกันอยู่ หรือเรียกว่า ” รังเหล็กไหล ” โดยใช้การเพ่งเทียนด้วยอาคมการเพ่งกสิณไฟที่สามารถทำให้เทียน มีความร้อนสูงจนกระทั่ง แร่เหล็กไหล ยอมเคลื่อนตัวออกมาจากรังเหล็กไหล  แล้วหยดออกมาเป็นเม็ดเล็กๆ  คล้ายกับเม็ดไข่มุกขนาดเล็ก  เหล็กไหลประเภทนี้เหมาะที่จะนำมาใช้ฝังในร่างกายมากที่สุด

ปิดตาเหล็กไหลยันต์ยุ่ง หลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรค์

เหล็กไหล กับ การครอบครอง

ถึงแม้เหล็กไหลจะมีพลังอำนาจอันน่าอัศจรรย์ และมีหน้าที่ช่วยโลกให้พ้นภัย อันจะเกิดจากพลังทำลายล้างของมหาจักรวาลก็ตาม  แต่ด้วยแร่เหล็กไหลที่ได้เข้ามาแฝงตัวอยู่ภายในโลกนั้นมีจำนวนไม่มาก แร่เหล็กไหลบางส่วนจึงยอมมาอยู่กับมนุษย์ แต่ของแท้ของจริงนั้นย่อมต้องคู่กับคนจริงด้วยกันเท่านั้น

แร่เหล็กไหลชั้นดี ประเภทน้ำหนึ่งจึงยอมที่จะยู่กับมนุษย์ ด้วยการฝังแร่นั้นเข้าไปในร่างกาย เมื่อทำการฝังแร่เหล็กไหลลงในร่างกาย  แร่เหล็กไหลจะไม่หายไปไหน จะยอมอยู่ติดตัวมนุษย์ผู้นั้น ไปจนกว่ามนุษย์ผู้นั้นจะถึงแก่ความตาย  ธาตุกายสิทธิ์ เหล็กไหลจึงจะเดินทางออกไปจากร่างกาย  และกลับคืนไปรวมกันอยู่ในธรรมชาติดังเดิม  รอมนุษย์ผู้มีภูมิปัญญาเรื่องธาตุกายสิทธิ์ เหล็กไหลเข้าไปอันเชิญออกมา

ของจริงย่อมอยู่คู่กับคนจริง

ดังนั้น แร่เหล็กไหล ประเภทน้ำหนึ่งอันเป็น แร่เหล็กไหลชั้นดี นั้น หากไม่ได้ถูกฝังลงภายในร่างกายแล้ว  เหล็กไหลย่อมสามรถเดินทางหนีไปได้เอง การเก็บรักษาแร่เหล็กไหลจึงมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธีคือ :

1. การเก็บรักษาภายในฝักขี้ผึ้ง ที่ทำขึ้นมาด้วยขี้ผึ้งจากรังผึ้งร้างที่สร้างขวางตะวัน อันเป็นขี้ผึ้งชนิดพิเศษ

2. การทำพิธีฝังแร่เหล็กไหลลงภายในร่างกาย ให้ร่างกายและธาตุของเราเป็นเสมือน ฝักขี้ผึ้งนั่นเอง แร่เหล็กไหลจึงจะไม่หนีไปไหน

ฝักขี้ผึ้งที่ทำจากรังผึ้งร้างสร้างขวางตะวัน

เหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์กับปาฏิหาริย์ต่างๆ

ผู้ที่นำ แร่เหล็กไหล ไปชื้อขายตามกิเลสความโลภทางโลกนั้นจึงต้องพบกับเรื่องเดือดร้อนอยู่เสมอ เพราะว่าไม่อาจควบคุมแร่เหล็กไหลได้  บางครั้งตกลงชื้อ – ขายจ่ายเงินทองกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เหล็กไหลกลับหายไปต่อหน้าต่อตา  ซึ่งเป็นเรื่องราวการหนีของเหล็กไหล ก็มีปรากฏให้พบเห็นกันอยู่เป็นประจำ ทำให้ผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการชื้อ – ขายแร่กายสิทธิ์ชนิดนี้ได้รับความเดือดร้อน มีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งระหว่างนายหน้าคนกลางด้วยกัน  หรือไม่ก็มีการหักหลังกันเองในเรื่องเงิน เรื่องค่านายหน้าต่างๆเหล่านี้เป็นต้น

จากประสบการณ์ ทำให้ได้พบว่า แร่เหล็กไหลน้ำหนึ่งชั้นดีที่สุด ซึ่งก็คือ เหล็กไหลปีกแมลงทับ นั้นไม่อาจทำการชื้อ – ขายกันได้  เมื่อถึงเวลาเหล็กไหลก็จะหนีหายไปทุกครั้ง ยกเว้นแต่จะเป็นการมอบให้กับผู้ที่มีบุญญาบารมีสูงเท่านั้น แร่เหล็กไหลจึงจะยอมอยู่ด้วย และไม่เสด็จหนีไป หรือ หากเป็นการบอกกล่าวเจตนาอันบริสุทธิ์กับเหล็กไหลชิ้นนั้นว่า จะนำทรัพย์สินเงินทองที่ได้จากการชื้อ – ขายไปทำอะไร เช่น สร้างโบสถ์  สร้างศาลา  สร้างโรงพยาบาล เป็นจำนวนเงินเท่าไร และมีเงินเหลืออีกจำนวนเงินเท่าไร ต้องมีการกล่าวให้สัจจะอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทำตามในสิ่งที่ตนนั้นได้กล่าวให้สัจจะอธิษฐานให้ได้ทุกประการ  และเมื่อผิดสัจจะที่ได้กล่าวไว้เมื่อใด  เหล็กไหลจะลงโทษให้ได้รับความเดือดร้อนในทันที ( มีหลายคนที่เคยทำการชื้อ – ขายเหล็กไหลสำเร็จมาแล้วด้วยวิธีการนี้ )

เหล็กไหลปีกแมลงทับ

หากเป็นกรณีของการนำเหล็กไหลไปชื้อ – ขายกันตามวิธีการชื้อ – ขายแบบทางโลก ซึ่งจะนำทรัพย์สินเงินทองที่ได้จากการชื้อ – ขายธาตุกายสิทธิ์ ไปใช้จ่ายในทางโลกแล้ว  ย่อมไม่มีวันชื้อ – ขายกันได้สำเร็จ  อีกทั้งเหล็กไหลยังจะลงโทษให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเหล่านั้นได้รับความเดือดร้อนไปตามๆกันอีกด้วย เช่น เป็นหนี้สิน  หมดเนื้อหมดตัว หรือไม่ก็เป็นโรคร้ายต่างๆ ที่รักษาไม่หาย ( อย่างเช่นเรื่องราวของแม่ชีบังอร )

ผู้ที่จะครอบครองแร่เหล็กไหลได้ จึงจะต้องเป็นผู้ที่ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่นำเอาธาตุกายสิทธิ์ที่ตนมีในครอบครองใช้เบียดเบียนข่มเหงรังแกผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน  เป็นผู้มีบุญญาบารมีสูง  อีกทั้งทรัพย์สินเงินทองที่ได้จากการชื้อ – ขายธาตุกายสิทธิ์นั้นจะต้องนำไปทำบุญ ทำกุศลเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือจึงสามารถนำมาใช้ทางโลกได้

เหล็กไหลปีกแมลงทับสีน้ำเงินเข้ม

เหล็กไหลปีกแมลงทับสีน้ำเงินเข้ม

 

เหล็กไหลปีกแมลงทับสีน้ำเงินเข้ม สามารถเปลี่ยนสีของตัวเองได้ตามกำลังจิตของผู้ครอบครองเหล็กไหล เป็นเหล็กไหลที่หายากมาก

พระสมเด็จเนื้อเหล็กไหล

พระสมเด็จเนื้อเหล็กไหล ถูกสร้างจากแร่เหล็กไหลนานาชนิด มีสีดำมันเงาอมเขียว  พุทธคุณเด่นในด้านอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาด จากภัยอันตรายทั้งปวง

แร่เหล็กไหลเกาะล้าน

แร่เหล็กไหล คืออะไร ?

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเราต่างได้ยินเรื่องราวของธาตุกายสิทธิ์ ” เหล็กไหล ” กันมาโดยตลอด แร่เหล็กไหลนั้น ประวัติความเป็นมาที่อยู่คู่กับสังคมไทยเรามาช้านานแล้ว ครูบาอาจารย์ผู้มีความรู้ความสามารถทางด้านเล่นแร่แปรธาตุ ต่างได้นำแร่เหล็กไหล จากธรรมชาติมาผสมสร้างเป็นวัตถุมงคลที่มีพลังอันน่าอัศจรรย์เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเรามาทุกยุคทุกสมัย  แม้กระทั่งพระเครื่องยอดนิยม อย่างเช่น  พระสมเด็จวัดระฆังฯ  พระนางพญา  พระรอดเมืองลำพูน ก็ล้วนแล้วปรากฏว่ามี แร่เหล็กไหลผสมเป็นส่วนหนึ่งของมวลสารอยู่ด้วยทั้งสิ้น

โคตรเหล็กไหลไพรดำ ธาตุกายสิทธิ์

โคตรเหล็กไหลไพรดำ ธาตุกายสิทธิ์

ทราบหรือมั้ยว่าเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์แร่กายสิทธิ์ เหล็กไหลที่โด่งดังไปทั่วโลกจริงๆ  แล้วมีจุดกำเนิดมาจากประเทศไทยของเรานี่เอง  จะว่าไปแล้วประเทศไทยถือว่าเป็นที่หนึ่งในด้านภูมิปัญญาความรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องแร่กายสิทธิ์เหล็กไหลการันตีได้จากการที่ประเทศไทยมีครูบาอาจารย์ผู้ที่มีความรู้และความสามารถทางด้านแร่เหล็กไหลมากมายหลายท่าน  ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ที่ชำนาญทางด้านการหาเหล็กไหล  การนำเหล็กไหลไปประยุกต์ทำเป็นวัตถุมงคล  หรือแม้แต่การฝังแร่เหล็กไหลเข้าไปภายในร่างกาย อันถือเป็นสุดยอดวิชาของเหล็กไหล  ซึ่งที่กล่างถึงมาทั้งหมดนี้ ต่างก็รวมกันอยู่ที่ประเทศไทย  ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฐานข้อมูลความรู้เรื่องแร่เหล็กไหลของคนไทยจะสมบูรณ์แบบมากที่สุดในโลก

เหล็กไหลน้ำหนึ่งที่กำลังเสพน้ำผึ้ง

อันที่จริงแร่เหล็กไหลได้เดินทางเข้ามาแฝงตัวอยู่ภายในโลกของเรานานแล้ว และด้วยคุณสมบัติอันพิเศษของแร่เหล็กไหลนี่เอง  ครูบาอาจารย์ผู้มีภูมิความรู้ต่างก็ได้นำแร่เหล็กไหลในธรรมชาติมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ  ในขณะเดียวกันทางฝั่งบรรดามิจฉาชีพ เมื่อทราบถึงกิตติศัพท์ของเหล็กไหลก็เกิดหัวใส หยิบยกเอาเรื่องราวของแร่เหล็กไหลไปแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว โดยอาศัยพื้นฐานความโลภของคนเรา จัดฉากสร้างละครอิงจากโครงเรื่องจริงอันน่าอัศจรรย์ของแร่เหล็กไหล หลอกลวงผู้คนที่มีความโลถอยากรวยทางลัดให้หลงเชื่อ และก้าวเข้าสู่กระบวนการชื้อ – ขายแร่เหล็กไหลในราคาแพง เมื่อความโลภเข้าครอบงำในที่สุดแต่ละคนต่างก็พากันตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพไปในที่สุด

เหล็กไหลน้ำหนึ่งปีกแมลงทับในฝักขี้ผึ้ง

เหล็กไหลน้ำหนึ่งปีกแมลงทับ

การฝังแร่เหล็กไหล ธาตุกายสิทธิ์

ครูบาอาจารย์ผู้มีภูมิปัญญารู้แจ้งรู้จริงต่างก็สามารถนำเอาแร่เหล็กไหลเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆได้อธิษฐานจิตตัดแร่เหล็กไหลมาจำนวนหนึ่ง และใช้ฝังให้กับผู้ที่มีความเชื่อถือศรัทธาในแร่กายสิทธิ์ชนิดนี้  มีทั้งข้าราชการ ตำรวจ ทหาร พ่อค้า ประชาชน เรียกว่าฝังไปเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งแร่เหล็กไหลที่ได้มานั้นหมดไป  แต่ไม่เคยขายแร่เหล็กไหลแม้แต่ชิ้นเดียว  เพียงแต่ก่อนการฝังจะต้องรับสัจจะของทางสำนักและนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด 4 ข้อด้วยกันคือ :

1. ห้ามลบหลู่ครูบาอาจารย์ และวิชาเหล็กไหลเป็นอันขาด ( แม้ในวันข้างหน้าหากไปอญุ่สำนักอื่นแล้ว ก็จะว่ากล่าวลบหลู่ครูบาอาจารย์ ผู้ที่ฝังแร่เหล็กไหล และวิชาเหล็กไหลไม่ได้ ตราบใดที่แร่เหล็กไหลยังคงฝังอยู่ภายในร่างกายของเรา )

2. ห้ามนำวิชาเหล็กไหลไปเอารัดเอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน ( ห้ามนำวิชาเหล็กไหลไปเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ไปปล้นไปฆ่า หรือ ไปข่มเหงทำร้ายผู้อื่นเป็นอันขาด )

3. ผู้ที่ฝังแร่เหล็กไหลที่ลนมาจากรังเหล็กไหลรังเดียวกัน จะทำร้ายกันไม่ได้ ( เปรียบเสมือนเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน จะทำร้ายกันไม่ได้  ดังนั้นในพิธีการฝังแร่เหล็กไหลทุกครั้ง ผู้ที่เข้ารับการฝังแร่เหล็กไหล จึงจำเป็นต้องทำความรู้จักซึ่งกันและกันไว้ให้ดี  แลกเปลี่ยนชื่อที่อยู่กันไว้  จดบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐาน เพื่อมอบให้กับทายาทผู้รับมรดกแร่เหล็กไหลของเราเมื่อยามที่เราตายจากโลกนี้ไป  ทายาทจะได้ทราบประวัติความเป็นมาของแร่เหล็กไหลชิ้นดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง )

4. จะต้องเข้าร่วมพิธีไหว้ครูและการอาบน้ำเพ็ญเป็นประจำทุกปี ( เพื่อเรียกพลังอำนาจของแร่เหล็กไหลให้กลับคืนมาดังเดิม  อีกทั้งยังเป็นการได้พบปะบรรดาศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันจะได้ทราบว่าปัจจุบันใครทำอะไรอยู่ที่ไหน เพื่อทำเป็นประวัติสืบทอดถึงชั้นลูกหลาน ว่าศิษย์ร่วมสำนักเป็นใครกันบ้าง  ชื่อสกุลอะไร เพราะข้อห้ามอันสำคัญนั้นคือ ผู้ที่ฝังแร่เหล็กไหลด้วยกัน ถือเป็นศิษย์สำนักเดียวกันจะต้องไม่ทำร้ายกันเองเป็นอันขาด

เหล็กไหลเงินยวง

รับสัจจะเพียง 4 ข้อเท่านั้น ใครมาขอให้ฝังแร่เหล็กไหลให้ และกล้าที่จะกล่าวคำรับสัจจะทั้ง 4 ข้อของสำนักและเมื่อถูกพิจารณาดูแล้วว่าเป็นคนดีไม่น่าจะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น  ก็จะได้รับการฝังแร่เหล็กไหลให้เกือบทุกคน โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด จะเห็นได้ว่า แร่เหล็กไหลที่มีความอ้ศจรรย์นั้น ไม่ได้มีค่ามีราคาอะไร ขอเพียงมีพลังแห่งความเลื่อมใสศรัทธาในธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลอย่างแท้จริง เพียงเท่านี้แร่เหล็กไหลชั้นดีก็จะมาอยู่ในตัวคุณได้ โดยไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปชื้อหาของชั้นดีมาจากที่ไหน

โคตรเหล็กไหลเจ็ดสี

แต่ของจริงก็ต้องคู่กับคนจริงเท่านั้น คนที่ยังไม่ศรัทธาอย่างแท้จริง ก็ใช่ว่าจะสามารถครอบครองแร่เหล็กไหลชั้นดีได้ ถึงแม้ว่าจะมีเงินมากมายสักเท่าไรก้มิอาจหาชื้อของวิเศษได้  เงินอาจจะชื้อได้แต่เพียงของปลอมเท่านั้น  ส่วนของแท้ของจริงต้องเอาพลังจิต และพลังแห่งความศรัทธามาแลก คนจริงจึงต้องกล้าผ่านพิธีกรรมการฝังเหล็กไหล กล้าที่จะทนความเจ็บปวดจากการใช้เหล็กอาคมเจาะทะลุเนื้อ เพื่อเอาแร่เหล็กไหลฝังลงไป หากเป็นผู้ที่ไม่มีความศรัทธาในแร่กายสิทธิ์อย่างแท้จริงแล้ว ย่อมไม่กล้าที่จะเข้าพิธีการฝังแร่เหล็กไหลอย่างแน่นอน